เจ้าพ่ออีสาน "โค้วยู่ฮะ"

โดย Mary Seldman
นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

การที่บริษัทโค้วยู่ฮะกรุงเทพ แต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ นับว่าเป็นการวางแผนก้าวสำคัญของราชาภูธร "วิญญู คุวานันท์" อย่างมาก และเสริมภาพพจน์บารมีของวิญญูให้ยิ่งใหญ่ในภาคอีสานด้วยความเป็นเจ้าที่ดินผู้มั่งคั่งจากการค้ารถอีซูซุมากขึ้น กล่าวกันว่าสินทรัพย์ในอาณาจักรโค้วยู่ฮะกรุ๊ปบอกว่า ทำได้กว่า 5,000 ล้านบาท และ 90% เขาได้มาจากค้ารถยนต์นี่เอง

โค้วยู่ฮะตั้งมาได้ 30 ปี แต่ละช่วงทศวรรษบ่งบอกถึงความสำเร็จและล้มเหลวของคนอย่างวิญญูได้ดี นับตั้งแต่ช่วงเขายังเป็นยอดคนแดนอีสานมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นพ่อค้าโรงสีที่ร่ำรวย จนถึงช่วงที่เขาเริ่มลงหลักปักฐานกับการเป็นดีลเลอร์รถอีซูซุรายใหญ่ที่สุดของอีสาน จนกระทั่งขยายอาณาจักรได้ยอดขายมากที่สุด ตามด้วยช่วงทศวรรษที่สามคือการขยายฐานธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อทำให้กิจการครบวงจร

ก่อนหน้าปี 2501 วิญญูหรือ "ฮกเช้ง แซ่โค้ว" เป็นเพียงพ่อค้ารับซื้อของป่าที่สืบอาชีพจากบิดาซุยหยู แซ่โค้ว และเขาเองก็คงไม่รู้ว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ปี 2501 การปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำการพัฒนาถนนสายใหม่หลายสายสู่ขอนแก่น ที่ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางความเจริญของอีสานและอำนวยโชคให้หนุ่มเมืองพลที่มีกิจการห้องแถวเล็ก ๆ ชื่อ ห้างหุ้นส่วนโต๊ะเฮียงเตียงมอเตอร์ ได้เติบใหญ่มาเป็นบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ในปัจจุบัน

ในช่วงทศวรรษแรกปี พ.ศ.2503-2513 การก่อตั้งบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ที่ขอนแก่นและเลือกค้ารถอีซูซุเพียงอย่างเดียวถือได้ว่าเป็นหัวหอกสำคัญที่ทำให้ฐานการค้าแข็งแกร่งขึ้น เพราะในช่วงแผนพัฒนาฉบับที่ 1 ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2505-2509 จอมพลสฤษดิ์เริ่มนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ของประเทศตามคำแนะนำของธนาคารโลก และเกิดกระทรวงพัฒนาการที่มี พจน์ สารสิน เป็นรัฐมนตรีคนแรก

"ผมจำได้ว่า ในห้องของท่านมีแผนที่ภาคอีสาน และเส้นทางพาหนะมากมายเหลือเกิน ท่านบอกว่าถ้าจะให้อีสานก้าวหน้าต้องทำถนน" พิชัย วาศนาส่ง ที่ปรึกษาใหญ่ของโค้วยู่ฮะ ย้อนรอยอดีตให้ฟัง

และถนนสายใหม่นี้เองทำให้วิญญูมองเห็นการณ์ไกลโดยหวังทำกำไรระยะยาวจากการเป็นดีลเลอร์ค้ารถอีซูซุ 6 ล้อ

แม้ว่าขณะนั้นพนักงานจะมีไม่ถึง 10 คนก็ตาม และการบริหารก็ไม่เป็นระบบประเภทช่วยๆ กันทำในหมู่เถ้าแก่ 3 คน คือ วิญญู มาลิน และสมพร ศิริอมตวัฒน์ ซึ่งเป็นน้องชายวิญญู โดยแต่ละคนก็ทำหน้าที่ที่ถนัด มาลินต้องวิ่งตัวเป็นเกลียวหาเงินมาหมุนใช้ในการอาวัลตั๋วโดยเอาที่ดินไปจำนองกับแบงก์ ส่วนวิญญูก็วิ่งขึ้นล่องขอนแก่น-กรุงเทพฯ เพื่อติดต่อบริษัทมิตซูบิชิ คอร์เปอเรชั่น โดยมีสำนักงานติดต่อแห่งแรกที่สามแยกสวนกวางตุ้ง สวนสมพร หรือเสี่ยน้อยก็คุมงานอยู่ที่ขอนแก่น

ขณะเดียวกัน วิญญูก็ไม่ทิ้งสิ่งที่เขาโตมากับมัน คือ ค้าข้าวและปอ ซึ่งในปี 2508-2509 วิญญูได้กำไรจากการค้าปอมากทีเดียว และเขายังมีกิจการโรงสีไฟโค้วยู่ฮะตั้งที่หนองบัวลาย จังหวัดนครราชสีมาทำควบคู่กันไป และที่นี่เขาได้ประยูร อังสนันท์เป็นลูกน้องที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์จนได้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ในวันนี้

อย่างไรก็ดี การทำธุรกิจการค้าจะหยุดนิ่งไม่ได้จำเป็นต้องขยายสาขาให้ครอบคลุมมากที่สุด ใครมีอำนาจต่อรองสูงก็ได้สินค้าในราคาต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง และการที่โค้วยู่ฮะได้ผงาดเป็นผู้ขายรถอีซูซุอันดับหนึ่งได้ นั่นก็เป็นผลมาจากการวางแผนของวิญญูที่ต้องการจะครองตลาดรถอีซูซุในอีสาน ด้วยการแตกบริษัทลูกจากบริษัทแม่โค้วยู่ฮะมอเตอร์ ขอนแก่นให้กระจายไปทั่วอีสาน และโค้วยู่ฮะได้กลายเป็นผู้จำหน่ายอันดับหนึ่งต่อมา และในปี 2510 นี้เองที่วิญญูได้เปลี่ยนนามสกุลจาก "ศิริอมตวัฒน์" เป็น "คุวานันท์"

"ข้าพเจ้าเดินทางกลับไปประจำที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2510 และกลับมาประเทศไทยอีกครั้งเพื่อรับตำแหน่งรองประธานบริษัทมิตซูบิชิ ประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการบริษัทมิตซูบิชิ ประเทศไทย สาขาบางเขน ในปี พ.ศ.2514 ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลล์ จำกัด ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นการกลับมาประจำประเทศไทยครั้งที่ 3 ของข้าพเจ้า "มร.วาย โมริตะ ที่ปรึกษามิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น แห่งญี่ปุ่นเล่าให้ฟัง

ในช่วงเวลานั้น โค้วยู่ฮะก็เติบใหญ่ขยายกิจการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม สำนักงานขายของโค้วยู่ฮะคับแคบและไม่มีศูนย์บริการที่เพียงพอสำหรับลูกค้า หลังจากที่โมริตะกลับมารับตำแหน่งใหม่ครั้งนั้น ได้เสนอให้โค้วยู่ฮะสร้างสำนักงานขายและศูนย์บริการใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นผู้จำหน่ายอันดับหนึ่ง

ระหว่างปี 2514-2524 บริษัทใหม่ ๆ ด้านการค้ารถของโค้วยู่ฮะเกิดขึ้นมากในเขตจำหน่ายของอีซูซุ 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และจังหวัดเลย ส่วนนอกเขตจำหน่ายหรือขายรถยี่ห้ออื่น ๆ ก็ตั้งบริษัทขึ้นมา นับตั้งแต่ขอนแก่นยนต์ เฟิส์ทมอเตอร์ ขายรถฟอร์ด มาร์วินมอเตอร์ เบนซ์กรุงเทพ ฯลฯ และกิจการค้ารถอีซูซุที่โค้วมอเตอร์ขอนแก่นไปได้ดีมาก ๆ และในปี 2524 วิญญูได้ตั้งบริษัทโตโยต้าปากน้ำโพที่นครสวรรค์โดยให้จารุวรรณ พินนาพิเชษฐ์ ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโค้วยู่ฮะเซนเตอร์ เป็นผู้ถือหุ้นและต่อมาโอนให้หลานสาววิญญูคือหทัยทิพย์ ศิริอมตวัฒน์ภายหลัง

ในทศวรรษที่สองระหว่างปี 2514-2524 นี้เอง ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในโลกและประเทศไทยค่อนข้างแปรปรวนมาก นับตั้งแต่การยกเลิกความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ กับทองคำในปี 2514 ซึ่งมีผลเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว และในปี 2516 ก็เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งแรก และการตกต่ำของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเลขการเติบโตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลงจากเคยสูงถึง 13.1% ในปี 2516 กลับตกต่ำลงเหลือแค่ 9% ในปี 2517 และตกลงไปเหลือ 8% ในปี 2518

โค้วยู่ฮะก็โดนผลกระทบนี้ด้วย บริษัทการค้ารถและอะไหล่รถยนต์ที่ต้องอิงกับอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สองในปี 2522 ที่ทำให้ยอดการขายของโค้วยู่อะตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อาศัยที่โค้วยู่ฮะมีเครดิตการขายรถบรรทุกได้บ้างและการขายเงินผ่อนที่เหมือนน้ำซึมบ่อทราย จึงทำให้กิจการประคองตัวไปได้ นอกจากนี้การสะสมซื้อที่ดินหลายสิบแปลงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำของกลุ่มโค้วยู่ฮะมีมาก จนตั้งเป็นบริษัทโค้วยู่ฮะเซนเตอร์ตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา

แต่กิจการประกันภัยที่วิญญูซื้อมาในปี 2515 ต้องประสบปัญหาภายในและภายนอกมาก เริ่มตั้งแต่บริษัทนี้เดิมก็มีปัญหาขาดทุนสะสมมาตั้งแต่ยุคแรกสมัยยังเป็น "กรุงเทพฯ ประกันภัย" ที่ตั้งเมื่อปี 2492 และถูกฟ้องล้มละลายเปลี่ยนชื่อเป็นไทยเรืองประกันภัย เมื่อวิญญูซื้อมาตกแต่งในชื่อใหมว่า "ธนกิจประกันภัย" แล้วเปลี่ยนอีกครั้งเป็น "พิทักษ์สินประกันภัย" ก็ยังประสบปัญหาขาดทุนเพราะในสมัยก่อนลูกค้าไม่นิยมเพิ่มเงินประกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาก็คือการเพิ่มทุน ปัจจุบันได้ร่วมกับบริษัท AGF (ASSURANCE GENERALES DE FRANCE) แห่งฝรั่งเศส และให้จิรวุฒิ คุวานันท์ ลูกชายเป็นผู้บริหารด้วย

นอกจากนี้ ความล้มเหลวจากการทำคลังสินค้าก็เกิดขึ้น โดยวิญญูได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการคลังสินค้าต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ในนามของ "บริษัทคุวานันท์คลังสินค้า" ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาทในปี 2524 กิจการคลังสินค้าประสบปัญหาขาดทุนและเพิ่มทุนเป็น 40 ล้านก็ยังไปไม่ได้ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงทำให้ในปี 2528 ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น "เค เทรดดิ้ง" หันไปค้ารถซึ่งการณ์ก็ปรากฏว่า ปัจจุบันบริษัทนี้มีสาขามากมายถึง 7 แห่งทั่วอีสาน โดยมีสำนักงานใหญ่ที่อุดรธานี

แต่ในระยะเวลานี้เอง นโยบายรัฐบาลเปิดให้เอกชนทำกิจการรถทัวร์ได้ บริษัทไทยบัสบอดี้ ซึ่งเป็นโรงงานต่อตัวถังรถทัวร์และรถบรรทุกซึ่งมาลินตั้งในปี 2515 ก็ประสบปัญหาการบริหารที่ผิดพลาด เพราะการย้ายโรงงานจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ขอนแก่น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งค่าขนส่ง ค่าสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการต่อตัวถังรถ ทำให้กิจการขาดทุน และในปี 2522 ก็ต้องหยุดกิจการไป ขณะที่ทางบริษัทเชิดชัยอุตสาหกรรมที่ทำแบบเดียวกันได้พัฒนาไปได้ดีกว่าในสายอุตสาหกรรมนี้

แต่ดูเหมือนว่าแม้จะมีบางธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ แต่วิญญูก็ผลักดันโค้วยู่ฮะขยายตัวต่อไป ! โดยคาดหมายว่าการโตต่อไปเท่านั้นที่จะมีโอกาสเพิ่มปริมาณรายได้และผลกำไรได้

นับตั้งแต่ปี 2525-2532 อาณาจักรของโค้วยู่ฮะไม่ได้จำกัดเพียงแค่ราชาภูธรค้ารถอีซูซุ หรือเจ้าที่ดินแห่งเมืองไทยเท่านั้น แต่วิญญูได้วางแผนการเติบโตไปสู่ภาพพจน์นักธุรกิจสมัยใหม่ที่มีพยายามแสดงออกถึงการบริหารทุน บริหารธุรกิจ และบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง ๆ ที่ปรัชญาการทำธุรกิจของเขา คือ พ่อค้าที่ถนัดงานซื้อมาขายไปมากกว่า

ในปี 2524 และ 2527 รัฐบาลได้ใช้มาตรการทางการเงินลดค่าเงินบาทสองครั้ง พร้อมกับกำหนดระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทใหม่จากผูกติดตายตัวกับดอลลาร์เป็นลอยตัว เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไปสู่การส่งออกและพัฒนาอุตสาหกรรมในภูมิภาค แต่ในปี 2527 นโยบายจำกัดสินเชื่อ 18% ก็ทำให้เศรษฐกิจถดถอยมาก

ปี 2525 โรงงานต่อตัวถังรถยนต์ก็เกิดขึ้นในนาม "เฟิส์ทบอดี้" ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ "บริษัทเคเอ็มที" กิจการขาดทุนตลอดจนต้องเพิ่มทุนเกือบทุกปีจาก 5 ล้านเป็น 30 ล้านในปัจจุบัน เหตุของการขาดทุนเพราะค่าใช้จ่ายสูงมากและการบริหารรั่วไหล มีการเปลี่ยนผู้บริหารคนแล้วคนเล่า ล่าสุดวิญญูดึงผู้เชี่ยวชาญจากอีซูซุได้ เป็นชาวญี่ปุ่นชื่อ KAZUMASA FUSEYA มาจากเมืองจิฟู ญี่ปุ่น และเคยทำงานให้อีซูซุที่นครราชสีมา มาเป็นรองกรรมการผู้จัดการ บริหาร 3 โรงงาน ส่วนสถาพร ณ พัทลุง ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารที่นี่ก็ย้ายไปดูแลบริษัทแวมโก้ที่จะผลิตรถเฟี้ยต

เคเอ็มทีเป็นตัวอย่างของการขาดแคลนผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางอย่างมาก คือ ขาดตำแหน่ง GENERAL MANAGER ผู้จัดการโรงงานหนึ่งคน ผู้จัดการฝ่าย และผู้ช่วยผู้จัดการส่วน ในขณะที่มีโรงงานที่ต้องดูแลถึง 3 แห่ง มีพนักงานเกือบ 600 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นซับคอนแทคเตอร์ซึ่งประกอบตัวถังรถพ่วงชนิดเซมิ-เทรลเลอร์และรถดัมพ์

ถึงกระนั้นก็ตาม วิญญูก็ไม่ปล่อย เขาได้พันธมิตรธุรกิจที่จะมาร่วมลงทุนสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เคเอ็มทีแล้ว ในช่วงปี่แล้ววิญญูเดินทางไปเกาหลีและญี่ปุ่นบ่อยมาก เพื่อเจรจาข้อตกลงการร่วมลงทุนกับบริษัทซันญองแห่งเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตตู้คอนเทนเนอร์ และที่ญี่ปุ่น บริษัทเคียวคูโตะซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่ง (รองมาเป็นบริษัทชิมไงหว่าและบริษัทโตคิว) ก็เป็นเป้าหมายของวิญญูที่จะมีการร่วมลงทุนเพื่อประกอบรถดัมพ์ในปีนี้

ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นปีที่โค้วยู่ฮะก้าวสู่อุตสาหกรรมต่อนเองจากการค้ารถ (VERTICAL INTREGRATION) เพราะในปี 2532 บริษัทเวิร์ล ออโตพาร์ท แมนูแฟคเจอริ่ง (แวมโก้) ได้เข้าไปเช่าช่วงโรงงานกรรณสูตเจอเนอรัล แอสเซมบลีที่ถูกสถาบันการเงินฟ้องล้มละลายเพราะหนี้สินกว่า 459 ล้านบาท ตามแผนการของวิญญูเขาได้ติดต่อกับทางบริษัทเฟี๊ยต ประเทศอิตาลี เพื่อขอเป็นผู้ประกอบรถเฟี๊ยตในภูมิภาคนี้

"ขณะนี้เรารอคุยกันก่อนว่า เฟี๊ยตจะให้เราประกอบกี่รุ่นหรือรุ่นอะไรบ้าง นอกจากนี้ เรายังมีโครงการประกอบรถบรรทุกซึ่งยังไม่รู้ว่าจะใชุ้นเท่าไหร่ เพราะต้องใช้เวลา" วิญญู คุวานันท์ เล่าให้ฟังแต่ปัญหาขณะนี้คือ สิทธิการเช่าช่วงของแวมโก้ได้หมดลงแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533 และทางเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ ธนาคารสยามจำกัดต้องการให้กรมบังคับคดีขายทอดตลาดเพื่อนำเงินจากการประมูลมาชำระหนี้สิน แทนที่จะให้ทางแวมโก้เช่าเดือนละ 5 แสนบาท

การประมูลครั้งนี้มีบริษัทผู้ค้ารถยนต์หลายแห่งที่ต้องการใบอนุญาตนี้ นอกจากของโค้วยู่ฮะกรุ๊ปแล้วก็มีบริษัทฮอนด้าคาร์ (ประเทศไทย) ด้วยงานนี้เสี่ยวิญญูต้องสู้ชิงดำแน่นอน

นอกจากนี้ วิญญูยังมีโครงการระยะสั้นและระยะยาวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอีกมากที่ทำไม่ได้ เช่น นิคมอุตสาหกรรมที่น้ำพอง โครงการเมืองอิเล็คทรอนิกส์ โครงการผลิตนาฬิกาในนามบริษัทโค้ววอชช์

"ผมเคยไป MATCH JOINT VENTURE โรงงานนาฬิกาที่สวิตส์ซึ่งเขยคุณวิญญูเป็นคนนำเข้ามา เพื่อตั้งบริษัทโค้ววอชช์ ปัญหาก็คือ พอตอบว่าลงทุน 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี ถึงจะคืนทุนท่านตกใจว่า ทำไมนานเหลือเกิน...ผมตั้งดีลเลอร์ขึ้นมาเพียงเดือนเดียวก็ได้เงินคืนแล้ว" ดร.เชียรช่วง กัลยาณมิตร เล่าให้ฟังในสมัยเมื่อเขายังเป็นที่ปรึกษาไฟแรงให้โค้วยู่ฮะกรุ๊ป

อีกด้านหนึ่งการค้าในอินโดจีนตามนโยบายพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ต้องการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า ก็ทำให้วิญญูซึ่งมีคอนเนคชั่นแนบแน่นกับประเทศลาวมานานก็ได้ตั้งบริษัทโค้วยู่ฮะ (ไทย-ลาว) และบริษัทส่งเสริมการเกษตรขึ้นมาในปี 2531 และ 32 แต่ปรากฏว่า การค้าล้มเหลวไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะรัฐบาลลาวไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีและกฎระเบียบการนำเข้าส่งออกทำให้คำนวณต้นทุนและราคาขายลำบาก

ในรอบบัญชีปี 2531 ระหว่างเดือนเมษา 31 ถึงมีนา 32 ผลการดำเนินงานของบริษัทโค้วยู่ฮะ (ไทย-ลาว) ขาดทุนประมาณ 150,000 บาท จากทุน 1,000,000 บาท โดยมีรายได้จากการขายสินค้านำเข้าจากลาว ซึ่งเป็นสินค้าเศษโลหะเป็นเงินถึง 13 ล้านกว่าบาท ขณะที่รายได้จากการส่งออกสินค้ารถอีซูซุหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าไปลาวมีมูลค่าเพียง 2.6 ล้านบาท

และอีกฐานหนึ่งที่วิญญูไม่ทิ้งแน่นอนก็คือ ธุรกิจส่งออกข้าวและค้าพืชไร่ วิญญูได้เดินหน้าเข้าสู่วงการค้าพืชไร่มันสำปะหลังเต็มตัวโดยขอซื้อโกดัง และโรงงานผลิตมันสำปะหลังอัดเม็ดของบริษัททวีแสงศิริที่ถูกธนาคารกรุงเทพยึดไว้ เนื่องจากค้างหนี้อยู่ถึง 200-300 ล้านบาท และซื้อตัวคนจากบริษัทเริ่มอุดมด้วยเงินเดือนสูงถึง 4 หมื่นบาทขณะที่ปกติจ้างแค่ 2 หมื่นบาท หลังจากพร้อมแล้ววิญญูได้ใช้คอนเนคชั่นผลักดันให้การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรกำหนดว่า เขตขอนแก่นเป็นเขตส่งออกมันสำปะหลังด้วยจากเดิมที่เขตสิ้นสุดที่นครราชสีมา เพื่อเอาผลตรวจสอบสต็อกไปจัดสรรเป็นโควต้าส่งออกให้และแผนการต่อไปของวิญญู คือ ผลักดันขยายเขตส่งออกไปถึงอุดรด้วย เพราะขณะนี้ที่อุดรธานีวิญญูได้สร้างโรงอัดมันเม็ดขนาด 4 หัวใหญ่ ซึ่งจะผลิตได้ราวเดือนเมษายนปีนี้ และโรงสีข้าวขนาด 200 เกวียนด้วย

สินค้าเกษตรพืชผลเหล่านี้ส่งออกโดยผ่านบริษัทไรซ์ชอยส์ที่กรุงเทพ เมื่อปี 31 วิญญูได้เข้าวงการค้าข้าวโดยตั้งบริษัทเกษตรไพศาลเพื่อส่งออกข้าวไปยังจีนเป็นรายใหญ่

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมได้บูมมาก ดังนั้น โค้วยู่ฮะกรุ๊ป ก็ได้ซื้อกิจการโรงแรมเข้ามาอยู่ในเครือ 2 แห่ง คือ โรงแรมนิวแมเจสติคที่ราชดำเนินกรุงเทพ และอีกแห่งที่เชียงใหม่ชื่อโรงแรมพรอวิเดนซ์ ซึ่งมาลิน คุวานันท์ซื้อจากลิตเติ้ลดั๊กกรุ๊ปในราคาเกือบ 200 ล้านบาททั้งสองแห่งให้ลูกสาวชื่อสาลินีบริหาร

แต่โครงการใหญ่ที่วิญญูตั้งใจสร้างที่ขอนแก่นแน่นอน คือ "โค้วยู่ฮะคอมเพล็กซ์" ที่ประกอบด้วยโรงแรมชั้นหนึ่งขนาด 400 ห้อง สูง 6 ชั้นมีห้องประชุมใหญ่จุคนได้ถึง 2,000-3,000 คน และมีห้างสรรพสินค้า สปอร์ตคลับ และมีสวนน้ำบนเนื้อที่ 100 ไร่ริมถนนมิตรภาพบริเวณใกล้ขอนแก่นสปอร์ตคลับ ซึ่งวิญญูได้เช่าสิทธิทำสนามม้าแข่งจากสโมสรนครขอนแก่นโดยจ่ายไป 8,561,442 บาท

วิญญูเป็นนักลงทุนที่ฉวยโอกาสเก่งแท้ ๆ ปัญหามีเพียงว่าเขาเอาทุนมาจากไหนตั้งมากมายมาเที่ยวไล่ซื้อกิจการต่าง ๆ

"มีเหลือไม่ถึง 10 จังหวัดที่ตระกูลคุวานันท์ไม่ได้ซื้อ" นายหน้าค้าที่ดินรายหนึ่งเล่าให้ฟังแต่มีเป็นสิบ ๆ จังหวัดที่มาลิน คุวานันท์ และเสี่ยวิญญูสะสมไว้ตั้งแต่รุ่นหนุ่มสาวจนถึงปัจจุบัน

"คุณแม่ชอบสะสมที่ดินมานานตั้งแต่ซื้อไม่กี่ไร่เป็น 20 ไร่ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าต่ำกว่า 40-50 ไร่ คุณแม่จะขี้เกียจไปดูเพราะเสียเวลา และบางทีคุณพ่อและพี่ใหญ่ไปเจอที่ไหนดี ๆ ก็จะซื้อด้วย" ลูกสาวคนเล็ก ศรีนภา คุวานันท์ เล่าให้ฟัง

แต่ลักษณะการพัฒนาที่ดินยังมีน้อย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้และมีบางแปลงที่นำไปจำนองกับแบงก์เพื่อกู้เงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่ขยายตัว หรือเปิดใหม่ หรือบางทีก็ขาดทุน การบริหารด้านการเงินส่วนใหญ่มาลินที่คนโค้วยู่ฮะเรียกว่า "เสี่ยเนี้ย" นั่นเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้วิ่งเต้นหาเงินตัวเป็นเกลียวในระยะบุกเบิกกิจการแรก ๆ

แบงก์พาณิชย์ใหญ่ 7 แห่งในประเทศต่างซูฮกให้โค้วยู่ฮะเป็นลูกค้าชั้นดี โดยปีที่แล้วทางบริษัทโค้วยู่ฮะกรุงเทพมีวงเงินเบิกเกินบัญชี 44.5 ล้านบาท และวงเงินสำหรับตั๋วเงินจ่ายและ LETTER OF CREDIT ในประเทศจำนวนรวม 465 ล้านบาท วงเงินเหล่านี้ค้ำประกันโดยเงินฝากประจำ 43.2 ล้านบาท และวงเงินส่วนที่เหลือค้ำโดยกรรมการและที่ดินหลายแปลง

ในอดีตเมื่อปี 2527 ด้วยสายสัมพันธ์กับพารณ อิศรเสนา แห่งปูนใหญ่วิญญูก็ได้ซื้อที่ดินสำนักงานใหญ่บริษัทของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยริมถนนพหลโยธิน ในนามบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์มาทำเป็นสำนักงานใหญ่โค้วยู่ฮะกรุงเทพด้วยเงิน 123 ล้านบาท โดยได้กู้แบงก์กสิกรไทย 21 ล้านกว่าบาทมาชำระพร้อมกับธนาคารอเมริกาก็ให้กู้ถึง 90 ล้านบาท นี่คือตัวอย่างของการหมุนเงินที่อาศัยที่ดินค้ำประกัน ทำให้ราชาที่ดินอย่างวิญญูและมาลินนับเป็นลูกค้าชั้นดีมาก ๆ ที่แบงก์ให้เครดิตเต็มที่ทุกโครงการ

นอกจากนี้ การใช้เงินทุนหมุนเวียนเช่นโครงการขยายงานค้ารถยนต์ของบริษัทโตโยต้าปากน้ำโพในช่วงแรก ๆ ประมาณปี 27 ก็มีการขอวงเงินในรูปการค้ำประกันตั๋วแลกเงิน (อาวัลตั๋ว) ในวงเงินไม่เกิน 60 ล้านบาท โดยมีที่ดินจำนองและตัววิญญูค้ำประกัน

คำถามมีอยู่ว่า ทำไมวิญญูและโค้วยู่ฮะมอเตอร์จึงมีเครดิตดีมากมายเพียงนี้ ?

คำตอบมีว่า เพราะไม่เพียงแต่จะมีที่ดินมามายเท่านั้น หากโค้วยู่ฮะรวยเงินสดจากธุรกิจด้วย ขอให้ดูงบดุลบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ (ขอนแก่น) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทในเครือข่ายเป็นตัวอย่าง

ปี 2531 มี CASH ASSET ประมาณ 300 ล้านเทียบกับรายได้สุทธิจากยอดขายประมาณ 656 ล้านบาทหรือคิดเป็นเกือบ 50% ซึ่งบ่งบอกถึงตัวธุรกิจว่าสามารถสร้างเงินสดได้ดี เมื่อมองในแง่นี้แล้วจึงไม่แปลกใจที่ธนาคารต่างเดินเข้าหาโค้วยู่ฮะเพื่อปล่อยเครดิตให้

มีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า โค้วยู่ฮะใช้ความแข็งแรงในเครดิตเป็นตัวผ่องถ่ายเม็ดเงินจากธนาคารไปให้บริษัทเครือข่าย

จากเอกสารรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัทกรุงเทพสรรพกิจระบุว่า ปี 2531 บริษัทเป็นลูกหนี้เงินให้กู้ยืมแก่บริษัทในเครือ 501 ล้านบาท และเอาไปลงทุนแสวงผลระยะสั้นและถือหุ้นในบริษัทจำกัดอื่น ๆ ในเครือประมาณ 78 ล้านบาท นอกจากนี้ยังไปให้กรรมการกู้อีก 84 ล้านบาท

รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 662 ล้านบาทที่บริษัทแม่เป็นตัวผ่องถ่ายเม็ดเงินจากระบบธนาคารไปใช้ในกิจการที่นอกเหนือธุรกิจของบริษัทแม่

การใช้ที่ดินและเครดิตตัววิญญูเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงเป็นที่มาของการใช้ทุนจากระบบธนาคารในการลงทุนขยายกิจการนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ถึงจุดหนึ่งการก่อหนี้เพื่อการเติบโตของธุรกิจย่อมเป็นภาระมากมายและมีความเสี่ยงสูงในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ ทางออกคือการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์

ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปี 2532 ที่วิญญูได้ให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ซิตี้คอร์ป เป็นอันเดอร์ไรเตอร์ในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นของบริษัทโค้วยู่ฮะกรุงเทพ และต่อมาได้ยื่นสมัครเข้าเป็นบริษัทรับอนุญาตต่อตลาดหลักทรัพย์ เป็นที่จับตาว่าเมื่อไหร่ที่หุ้นตัวนี้จะผ่านการอนุมัติให้ซื้อขายกันได้ ขณะที่ปัจจุบันราคาซื้อขายนอกตลาดไต่อยู่ระดับราคา 150-180 บาทแล้ว หลังจากที่ได้มีการขายหุ้นให้แก่พนักงานบริษัทในราคาหุ้นละ 52 บาท

"ทุนจดทะเบียนของเราเพิ่มจาก 10 ล้านเป็น 80 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และจะกระจายไปสู่ประชาชนประมาณ 40% ราคาพาร์ก็ 10 บาท ถ้าจะขายก็ประมาณร้อยบาทได้" วิญญู ประธานโค้วยู่ฮะกรุงเทพเปิดเผยถึงเงินทุนที่จะระดมได้จากการเป็นบริษัทมหาชนนับล้าน ๆ บาท

บริษัทโค้วยู่ฮะกรุงเทพเดิมชื่อบริษัท ยู.ดี. มหานคร ตั้งเมื่อปี 2521 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และเมื่อถูกวิญญูซื้อกิจการเมื่อปี 2523 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น "อีซูซุขอนแก่น" และต่อมาเมื่อกิจการค้ารถเติบใหญ่มากขึ้นในขอนแก่น วิญญูก็ย้ายสำนักงานใหญ่มาที่กรุงเทพ โดยสวมชื่อใหม่ให้เป็น "บริษัทโค้วยู่ฮะกรุงเทพฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ของอีซูซุ แทนสำนักงานติดต่อประสานงานที่โค้วยู่ฮะมอเตอร์มีอยู่ขณะนั้น

รัชชพร กุลเลิศจริยา ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมว่า "อนันต์ญา" ได้ถูกมอบหมายให้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทนี้ ปัจจุบันนี้รัชชพรหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า "พี่เตียง" เป็นลูกหม้อเก่าที่ทำงานกับโค้วยู่ฮะมานานนับ 20 กว่าปี และมีคุณสมบัติของความซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม นิยมธรรมะเข้าวัดแบบเดียวกับเสี่ยเนี้ย มาลิน คุวานันท์

การบริหารงานของโคร้วยู่ฮะกรุงเทพยังรวมศูนย์อยู่ที่วิญญูและมาลิน แม้ว่าจะมีบอร์ดใหญ่สายงานภาคกรุงเทพมหานครและภาคกลางก็ตามที ดังนั้การตัดสินใจนำเอาโค้วยู่ฮะกรุงเทพซึ่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ปี 2527-30 เข้าตลาดหุ้นในฐานะบริษัทรับอนุญาตแทนที่จะเอาโค้วยู่ฮะมอเตอร์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ทำกำไรได้มากที่สุดในกรุ๊ปจึงเกิดขึ้น

"เราต้องเข้าไปทีละบริษัท เพราะโค้วยู่ฮะกรุงเทพของเราค้ารถอย่างเดียว ซึ่งเหมาะสมกับการเข้าตลาดหุ้น ส่วนโค้วยู่ฮะมอเตอร์ของเราที่ขอนแก่นไม่ใช่จะค้ารถอย่างเดียว แต่ทำหลายอย่างทั้งเกษตร จัดซื้อที่ดิน และทำไฟแนนซ์ ดังนั้นเป็นบริษัทที่ค้าทุกอย่างซึ่งยังไม่พร้อมเข้า แต่วันหนึ่งคงจะต้องเอาเข้าให้ได้" ประยูร อังสนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เล่าให้ฟัง

การใช้ตลาดหุ้นของวิญญู คุวานันท์ เป็นการวางแผนทิศทางของโค้วยู่ฮะกรุงเทพ โดยหวังผลที่ให้เกิดขึ้น คือ จากบริษัทที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักก็จะเกิดภาพพจน์บริษัทนี้ขึ้นมา ซึ่งก็จะหมายถึงการเพิ่มพูนกำลังทรัพย์จากมหาชนได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก และนำเอาตลาดหุ้นมาใช้ในเชิงการตลาดมากขึ้น โดยขยายขอบเขตการแข่งขันได้ทวียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะการใช้แหล่งทรัพยากรทางการเงินจากตลาดหุ้นจะทำให้กิจการขยายขนาดใหญ่ขึ้นและหาสินค้าใหม่ ๆ ได้ด้วย

ในอนาคตเมื่อฐานการเงินเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก บริษัทขนาดใหญ่เล็กในเครือของโค้วยู่ฮะอีกนับสิบ ๆ บริษัทจะเริ่มมีพิษสงมากขึ้น เพราะโค้วยู่ฮะจะได้ทั้งทุนและมืออาชีพเข้าไปบริหารงานในเครือมากขึ้น และอีก 3 ปีข้างหน้าแน่นอนว่าโค้วยู่ฮะกรุงเทพอาจจะไปซื้อกิจการใหม่ ๆ เข้ามาอีก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในหุ้นของตัวเอง เรื่องนี้ผู้ที่ตอบได้ดีที่สุดน่าจะเป็น "วิญญู คุวานันท์" ยอดคนแดนอีสานคนนั้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.