|

ตรึงอาร์พี3.25%ตามคาดธปท.หวั่นเงินเฟ้อพุ่ง-ซับไพรม์ยืดเยื้อ
ผู้จัดการรายวัน(11 ตุลาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 3.25% เหตุอัตราเงินเฟ้อจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศอาจมีผลกดดันให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรอดูผลซับไพรม์ที่อาจยืดเยื้อต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต ขณะเดียวกันในวันที่ 19 ต.ค.นี้ กนง.เตรียมปรับเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางตัว โดยเฉพาะทบทวนราคาน้ำมันใหม่ หุ้นพุ่งรับข่าวนักลงทุนคลายกังวลปัญหาศก. ลุ้นผลประกอบการกลุ่มแบงก์ไตรมาส3/50 โตเกินคาด ศคร.วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษามาตรการการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)วานนี้(10ต.ค.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร(อาร์พี)ระยะ 1 วัน ไว้ที่ระดับ 3.25%ต่อปี เนื่องจากขณะนี้แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ในระยะต่อไปยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศที่จะทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าและค่าขนส่งจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนปัจจัยภายนอกจากราคาน้ำมันตลาดโลก สินค้าโภคภัณฑ์และราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในส่วนของอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนมีสัญญาณการขยายตัวที่ดีขึ้น แม้การส่งออกจะชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์)ของสหรัฐ แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบโดยตรงไม่มากในขณะนี้ แต่อาจจะมีโอกาสสร้างปัญหายืดเยื้อในอนาคตได้ ทางกนง.จึงต้องมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
"กนง.มีบทบาทในการรักษาสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็มีการใช้จ่าย การกู้ยืมในการก่อสร้างรถไฟฟ้า หรือมีการทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นในฐานะที่เรามีหน้าที่ในการดูแลนโยบายการเงิน เมื่อใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลังให้เป็นตัวช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น”
นางสุชาดา กล่าวว่า ในการประชุมรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนตุลาคม ซึ่งจะมีการประชุมขึ้นในวันที่ 19 ตุลาคม นี้ และเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายในปีนี้อาจมีการทบทวนเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางตัวให้เป็นไปตามภาวะที่เปลี่ยนไป อาทิ อัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เริ่มเร่งตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ถึง 80 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ทางกนง.คาดว่าจะมีการทบทวนประมาณการราคาน้ำมันของปีนี้ใหม่ แต่ราคาน้ำมันในปีหน้ายังคงไว้ที่เดิม คือ 65 เหรียญต่อบาร์เรล
"อัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ถือว่าเหมาะสมกับศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจในอัตรา 4-5%แล้ว แต่ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องติดตามอยู่ จึงต้องรอดูข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามาอย่างใกล้ชิดต่อไป และการปรับคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ก็ไม่เกี่ยวกับกรณีที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะติดลบ เพราะที่ผ่านมาก็มีบางช่วงที่กนง.ลดดอกเบี้ยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ โดยในเดือนก.ย.นี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนอยู่ที่ระดับ 0.14%"นางสุชาดากล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.75% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทำให้ไทยกับสหรัฐมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย 1.5% ถือว่ากว้างพอสมควร จึงเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้ปรับลดลงไปแล้วนั้น จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างเงินฝากของแต่ละสถาบันการเงิน เพราะบางธนาคารอาจมีเงินฝากประเภทระยะยาวมาก ทำให้ต้นทุนยังสูงอยู่ แต่เชื่อว่าเมื่อต้นทุนลดลง สถาบันการเงินจะค่อยๆ ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตาม และในช่วงที่เกิดปัญหาซับไพรม์สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
"ในช่วงที่เกิดภาวะตึงตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจากปัญหาซับไพรม์ ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจของไทยเพิ่มขึ้น จึงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากมีช่องทางและต้นทุนลดลง เชื่อว่าสถาบันการเงินจะมีการขยายสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจต่อไป”นางสุชาดากล่าว
ส่วนภาคประชาชนเองก็มีการฝากเงินลดลง สะท้อนจากยอดเงินฝากในระบบเศรษฐกิจเริ่มลดลงเหลือ 2%กว่า แสดงให้เห็นว่าประชาชนทั่วไปเริ่มหันไปลงทุนประเภทอื่นที่หลากหลายขึ้น เช่น ตั๋วแลกเงิน(บี/อี) หุ้น รวมทั้งธุรกิจกองทุนรวม
หุ้นพุ่งรับข่าว
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (10 ต.ค.) ดัชนียังปรับตัวอยู่แดนบวกต่อเนื่องหลังนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะหุ้น BANPU ที่มีแรงซื้อเข้ามาจนทำให้ล่าสุดราคาหุ้นใกล้แตะระดับ 400 บาท ขณะหุ้น PTT ปรับตัวลดลงมาปิดที่ 338 บาท โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 875.10 จุด เพิ่มขึ้น 7.51 จุด หรือ 0.87% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 879.51 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 871.58 จุด มูลค่าการซื้อขาย 27,750.84 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,864.23 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 786.29 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,650.52 ล้านบาท
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า การไหลกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นทั่วเอเชียในรอบนี้เป็นผลมากจากนักลงทุนคลายกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐที่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงระยะสั้นมากนัก โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกมาประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทแต่เงินที่ไหลกลับเข้ามารอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังแค่ประมาณ 30% ของเงินที่ไหลออกทำให้มีโอกาสที่เงินจะไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มได้อีก
ทั้งนี้ นอกเหนือจากความมั่นใจทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/50 ที่ใกล้จะประกาศน่าจะดีกว่าที่มีการคาดการณ์ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนมากขึ้น
สำหรับการปรับตัวเพิ่มขึ้นขอราคาหุ้น BANPU อย่างรุนแรงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่ถือว่าดีมากเพราะความต้องการถ่านหินในโลกสูงขึ้นหลังประเทศจีนจากผู้ผลิตรายใหญ่ต้องกลายเป็นผู้นำเข้าแล้วข่าวในเชิงที่สนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นข่าวการแตกพาร์เป็นอีกแรงที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
"รอบนี้เรามองว่าโอกาสที่ดัชนีจะทะลุ 900 จุดไม่น่าจะยากมาก โดยมองกรอบดัชนีอยู่ที่ 877-936 จุด โดยช่วง 2 วันที่ผ่านมามีตลาดหุ้นถึง 8 แห่งที่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้งขณะที่ไทยยังไม่สามารถทำลายสถิติได้เลย"นายสุกิจกล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การคงอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันที่ระดับ 3.25% ของคณะกรรมการกนง.ถือว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
สั่งหามาตรการหนุนทุนนอก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม (ศคร.) ที่มีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจเดียวกันกับประเทศไทย เช่น ประเทศมาเลเซีย ทั้งในเรื่องของการลงทุน มาตรการภาษี และมาตรการอื่นๆ หลังจากที่กระทรวงการคลัง ได้ศึกษามาตรการการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการเปิดโอลดิ้ง คัมปานี หรือบริษัทไทยในต่างประเทศ เช่น การยกเว้นภาษีกำไร 10 ปี ให้กับนักลงทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศที่เคยศึกษาในรัฐบาลที่ผ่านมา เป็นต้น
ส่วนมาตรการให้สินเชื่อธุรกิจ SME จำนวน 5,000 ล้านบาทนั้น ได้รับรายงานความคืบหน้า ณ วันที่ 4 ต.ค.2550 มีการยื่นขอแล้ว 217 ราย วงเงิน 968 ล้านบาท และผ่านการอนุมัติเกณฑ์ให้สินเชื่อของธปท.จำนวน 831 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คิดว่าระบบการให้สินเชื่อใหม่นี้ธนาคารพาณิชย์จะสามารถปรับตัวได้ในปลายเดือนตุลาคมนี้หลังจากที่ยังไม่มีความเรียบร้อยมากนัก ขณะที่การให้สินเชื่อที่ใหญ่วงเงิน 4,500 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่มีผู้เข้ามายื่นขอสินเชื่อ
นายอาคม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมเชื่อว่าเศรษฐกิจในปี 2551 จะเดินหน้าหลังจากที่โครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการโลจิสติกส์รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าส่วนสีแดง สายสีม่วง และสายสีน้ำเงินสว่นต่อขยายหรือโครงการทางด้านพลังงาน เช่น IPP SPP และ VSPP ที่เป็นโครงการพลังงานปิโตรเคมีประกาศโครงการในเดือนตุลาคมนี้ รวมทั้งการเจรจาระหว่างนักลงทุนกับ BOI เดินหน้าก็จะยิ่งสร้างความชัดเจนเพิ่มสร้างแรงดึงดูดในการลงทุนมากขึ้น
"ประเมินกันว่าในปี 2550 เศรษฐกิจจะเป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ต่ำกว่า 4% แต่ก็จะต้องฟังผลการแถลงจีดีพีไตรมาส 3 ของสภาพัฒน์ในวันที่ 3 พ.ย. ก่อน”นายอาคมกล่าว
ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากนโยบายพื้นฐานของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดความเชื่อมั่นการลงทุนทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นผลดีของการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนการบริโภคเริ่มฟื้นตัวจากการเพิ่มเงินของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง คือความรุนแรงปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ และ ราคาน้ำมันปรับตัวสูง
"การลงทุนภาคเอกชนเริ่มชัดเจนแล้วโดยเฉพาะยานยนต์ที่รัฐบาลมั่นใจว่าไทยจะเป็นดีทรอยด์แห่งเอเซียได้ เพราะนโยบายภาครัฐที่จูงใจให้เกิดการลงทุนทั้งอีโคคาร์และรถยนต์ปกติ ขณะที่เศรษฐกิจในปี 50 กระทรวงการคลังเชื่อว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 4% หรืออาจสูงถึง 4.5%”รมว.คลังกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|