"เศรษฐกิจของจีน : การขยายกรงนกหรือปล่อยนกออกจากกรง ?"


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

"การเติบโตของเศรษฐกิจของจีนอย่างจรวด มีปัญหาเกิดขึ้น 2 ประการนั่นคือเป็นการเติบโตที่รวดเร็วเกินไปหรือไม่ บางส่วนเห็นว่ายังเหมาะสม จีนยังคงเป็นตลาดที่นำลงทุนต่อไป"

นโยบายเปิดประตูเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจีน เศรษฐกิจจีนในตอนนี้เหมือนธนูที่ยิงออกไปอย่างแรง ลูกดอกจะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายหรือไม่ยังไม่อาจรู้

แต่แรงเหนี่ยวนั้นทำให้หลายฝ่ายหวั่นใจว่าเศรษฐกิจจะโตเร็วเกินไป อันเป็นมุมมองที่เกิดจากการจับตาการเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษ, การขยายตัวของท่าเรือ 14 แห่ง, ผลได้ผลเสียของธุรกิจต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุน รวมทั้งนโยบายด้านการเงินที่จะเป็นตัวควบคุมที่สำคัญหากเศรษฐกิจโตจนยั้งไม่ทัน และก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น

การเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจของจีนเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเติ้ง เสี่ยว ผิง และเป็นเป้าหมายการวิพากษ์จารณ์อย่างกว้างขวางของนักเศรษฐศาสตร์ด้วย ดังเช่นหนึ่งในนั้นคือ เชนหยุน ผู้วิเคราะห์เศรษฐกิจจีนด้วย "ทฤษฎีนกในกรง" คือเชื่อว่า การปฏิรูปหมายถึงการสร้างกรงนกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่การปล่อยนกออกจากกรง และนักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า เศรษฐกิจของจีนกำลังเป็นไปในประการหลัง

หากแยกแยะประเด็นที่นักวิเคราะห์จับตามองจะพบว่ามีอยู่สองประเด็นใหญ่ ๆ ด้วยกัน ประการแรกคือ หลายฝ่ายเกรงว่าเศรษฐกิจจีนจะเฟื่องฟูเร็วจนเกินขอบเขตที่จะควบคุมได้ รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการที่เฉียบคมในการตรวจสอบและควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้

ประการที่สอง การปฏิรูปกิจการของรัฐทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่คนทำงาน เพราะการแปรรูปกิจการที่เคยเป็นของรัฐเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นทำให้คนทำงานที่เคยได้สวัสดิการจากรัฐเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ไป ยังไม่รวมการเกิดช่องว่างมหาศาลระหว่างรายได้ของคนงานของรัฐและคนทำงานในภาคเอกชน

แต่ปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจคือการขยายตัวเขตเศรษฐกิจเซินเจิ้นขึ้นอีก 6 เท่า จากเดิม 327.5 ตารางกิโลเมตรเป็น 2,020 ตารางกิโลเมตร

แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจเซินเจิ้นฉบับปัจจุบันซึ่งมีอายุ 10 ปี (1991-2000) ใช้งบประมาณ 70,000 ล้านหยวน (13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มากกว่าฉบับเดิมถึง 3 เท่าตัว

แผนการดังกล่าวรวมถึงโครงการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในสถานีพลังงานไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 60,000 กิโลวัตต์ โครงการสร้างถนนและสะพานโรงงานปิโตรเคมีและทางรถไฟ

ต่างชาติจ่อคิวรอจีนเปิดตลาดการเงิน

นโยบายการเงินของจีนถือเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมเศรษฐกิจ ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังเร่งกระตุ้นอัตราเงินออมในประเทศ และเน้นการอัดฉีดเงินให้กับภาคอุตสาหกรรม จึงสนับสนุนมีการลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น

ในเดือนพฤษภาคม 1992 มีธนาคารพาณิชย์จากต่างชาติเข้ามาเปิดสาขาและร่วมทุนกับธนาคารของจีนแล้ว 47 รายและ อีกหลายรายที่ได้ตั้งสำนักงานตัวแทนขึ้น

และที่สำคัญก็คือ ทางรัฐบาลมีแผนจะเปิดเสรีตลาดหุ้นให้มากขึ้นอีก รวมทั้งทำให้เงินหยวนสามารถแลกเปลี่ยนในตลาดโลกได้ ดังที่ เชน หยวนผู้ช่วยฝ่ายบริหารของธนาคารกลางของจีน (พีบีโอซี) เผยว่า "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของข้อตกลงทั่วไปด้านภาษีและศุลกากร (แกตต์) เราตั้งใจจะเปิดเสรีตลาดการเงินและธนาคารสำหรับต่างชาติให้กว้างขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร"

นอกเหนือจากนั้นจีนยังมีแผนเปิดตลาดประกันรับบริษัทต่างชาติด้วย เบี้ยประกันของจีนในปี 1990 มีมูลค่า 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่ายังน้อยอยู่ ตลาดส่วนนี้จึงยังโตได้อีกมาก

ความเฟื่องฟูของการเงินจีนยังเห็นได้จากการยอมรับตลาดล่วงหน้าว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมายหลังจากที่กิจกรรมประเภทนี้จัดเป็นหนึ่งในจำนวน "อบายมุขทั้ง 6" ของประเทศและถือว่าเข้าข่ายการพนันมานาน และตลาดเซี่ยงไฮ้ก็กำลังจะพัฒนาตัวเป็นตลาดล่วงหน้าที่สำคัญของเอเซียด้วย

ตลาดอุปโภคบริโภคของจีนที่มีลูกค้าอยู่ถึง 1,000 ล้านคนล่อใจนักลงทุนทั่วโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 แต่วันนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ ความคาดหมายที่เกินจริง เพราะยิ่งนานวันความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ก็เผยตัวออกมามากขึ้น

จากตัวเลขของ HONG KONG TRADE DEVELOPMETN COUNCIL พบว่า การทำสัญญาลงทุนของธุรกิจต่างชาติเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 68% แต่ตัวเลขการลงทุนจริงกลับเพิ่มขึ้นเพียง 14% เท่านั้น

แต่เมื่อเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของปีนี้การลงทุนจากต่างชาติหนาแน่นกว่าเดิมมาก เพียงช่วง 2 เดือนนี้มีการทำสัญญาลงทุนของธุรกิจต่างชาติถึง 3,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดียวกันในปี 1991 ถึง 2 เท่า โดยเป็นเงินของนักลงทุนจากฮ่องกงถึง 56% (1,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตามมาด้วยนักลงทุนจากไต้หวัน

ตัวเลขการลงทุนจากต่างชาตินี่เอง เป็นจุดหนึ่งของการวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจจีนโตเร็วเกินไป บางกลุ่มเห็นว่าภาวะการลงทุนเช่นนี้จะพองตัวอย่างรวดเร็วและแตกลงภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นภาวะเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1980

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การริเริ่มโครงการใดใดในจีนให้ประสบผลสำเร็จจึงควรกินเวลาน้อยกว่า 5 ปี

ฉะนั้น โครงการระยะยาวที่ใช้เงินลงทุนสูงจึงเสี่ยงมากกว่าโครงการระยะสั้น วู ตัน อวย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนของฮ่องกง กล่าวว่า "นี่เป็นโอกาสทองในช่วงสั้น ๆ สำหรับนักลงทุนต่างชาติเพราะหัวเมืองต่าง ๆ ในจีนกำลังแข่งขันกันหยิบยื่นสิ่งล่อใจให้กับนักลงทุน แต่การแข่งขันนี้เองจะนำไปสู่การเติบโตจนเกินขอบเขตของเศรษฐกิจ"

แต่ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเองกลับเห็นว่าบรรยากาศการลงทุนของจีนนั้นสะดวกราบรื่นโดยดูจากภาระหนี้สินของประเทศที่ลดลง, ดุลการค้าที่ยังดีอยู่ บวกกับอัตราการออมเงินต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น

นักธุรกิจของต่างชาติ และนายธนาคารก็เห็นพ้องกันว่า จีนเป็นประเทศที่ก้าวไปไกลที่สุดในจำนวนประเทศ ที่เพิ่งเปิดพรมแดนอย่างเวียดนาม, พม่าและกลุ่มเอเชียกลางอื่น ๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากฎหมายจีนได้ผ่อนปรนให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

แต่ความจริงแล้ว จีนยังมีกฎหมายที่ยังสร้างความสับสนให้กับกระบวนการทำธุรกิจอยู่ เช่นหลักการบัญชีของจีนซึ่งมุ่งทำบัญชีเพื่อการจ่ายภาษีโดยไม่คำนึงถึงด้านการบริหาร และกระบวนการตัดหนี้สูญของธนาคารก็ยุ่งยาก เพราะเจ้าหนี้จำต้องเสียรายจ่ายด้านดอกเบี้ยด้วย ทั้ง ๆ ที่หนี้บางก้อนเป็นหนี้สูญ จึงเท่ากับว่าเขาเสียภาษีกับผลประโยชน์ที่ไม่ได้รับ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เฟื่องแข่งฮ่องกง

ในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น แม้นักลงทุนบางรายอย่างดีเร็กซ์ ซาน "ซิโนแลนด์" จะชี้ว่าการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจีนยุ่งยากน้อยกว่าในมาเลเซีย และรัฐบาลก็มีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

แต่ซิโนแลนด์ได้รับความสะดวกเพราะเข้าไปในตลาดจีนตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จึงมีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีสายสัมพันธ์ตรงนี้จะพบว่าการทำธุรกิจในจีนนั้นมีกระบวนการที่ยุ่งยากไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่กระบวนการเหล่านี้ก็ขยับเข้าใกล้มาตรฐานของชาติอาเซียนอื่น ๆ แล้ว แต่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจก็ยังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้หลายมณฑลของจีนจึงใช้ระบบการเช่าที่เหมือนที่ทำกันในฮ่องกงเพราะทำให้การพัฒนาที่ดินเป็นไปได้ง่ายขึ้น ราคาที่ดินในเขตเศรษฐกิจของจีนจึงเพิ่มขึ้นพรวดพราดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังมีราคาเพียง 1 ใน 3 ของราคาที่ในฮ่องกง

แต่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเขตเศรษฐกิจของจีนกับฮ่องกงก็จะทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ใกล้เคียงกัน ในขณะที่ราคาที่ดินของมลฑลอื่นที่ไม่ใช่เขตเศรษฐกิจจะยังคงไต่ขึ้นอย่างช้า ๆ

ตลาดคอนซูเมอร์ : หนึ่งในปัจจัยชี้การเติบโตเกินขอบเขต

เมื่อหันมาดูตลาดอุปโภคบริโภคของจีนจะยิ่งพบการเติบโตที่มากมายอย่างเห็นได้ชัด เพราะตลาดจีนมีผู้บริโภคถึง 1,000 ล้านคนและรัฐบาลจีนก็ยินยอมให้ต่างชาติเข้าไปประกอบการได้แล้วด้วย

ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภทมีสูงมากร้านค้าปลีกและค้าส่งของจีนก็เปิดกว้างรอการร่วมทุนจากต่างชาติอย่างเต็มที่ ทำให้มีการร่วมทุนกับต่างชาติอย่างคึกคัก

หนึ่งในบริษัทใหญ่ที่เข้ามาร่วมทุนในจีนคือ "อัลไลด์กรุ๊ป" กลุ่มธุรกิจจากฮ่องกงของลี หมิง ตี ตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา อัลไลด์เข้าไปร่วมทุนกับบริการของจีนเป็นมูลค่าการลงทุน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเน้นธุรกิจอาหารและอาหารสัตว์

แต่กรณีของอัลไลด์เป็นเรื่องของบริษัทใหญ่ ที่มีเงินลงทุนมหาศาล สำหรับธุรกิจขนาดกลาง และเล็กแล้ว หนทางขยายธุรกิจไม่ได้ง่ายเช่นนี้เสมอไป เพราะบริษัทนั้น ๆ ต้องมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและบริการที่ดีจึงจะประสบความสำเร็จได้ และนั่นหมายถึงว่า ธุรกิจนั้น ๆ จะต้องเข้าไปสร้างช่องทางการเติบโตได้มากพอสมควรแล้ว

นอกจากนั้น บริษัทต่างชาติยังมีปัญหากับเงินหยวนที่ยังแลกเปลี่ยนในตลาดโลกไม่ได้ด้วยสำหรับกรณีค่าเงินหยวนนี้ โฮปเวลล์ โฮลดิ้งดูจะโชคดีกว่าใคร ๆ เพราะโครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการของบริษัทไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ไฮเวย์, โรงงานไฟฟ้าทั้งสองคือ "ชาเจียว บี" และชาเจียว ซี" นั้นแม้จะมีรายได้เป็นเงินหยวน แต่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้แลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์ได้ในตลาดเงินกวางตุ้ง

ผิดกับ "ไชน่า ไลต์ แอนด์ พาวเวอร์" หนึ่งในธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าไปดำเนินกิจการในจีนเพราะบริษัทต้องงดโครงการสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนด้านพลังงานเพิ่มเมื่อต้องมีรายได้เป็นเงินหยวน เนื่องจากความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินอาจกระทบต่อผลกำไรของบริษัท ในเมื่อบริษัทลงทุนเป็นดอลลาร์

การลงทุนจากต่างชาติเฟื่องฟูมากและทิ้งห่างธุรกิจของรัฐมากขึ้นทุกที ธุรกิจในภาครัฐมีผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนผลผลิตของภาคเอกชนที่ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 56%

ความแตกต่างตรงนี้เองที่ทำให้รัฐบาลหวังจะหนุนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง คือการซื้อหุ้นในกิจการของรัฐ กระนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดีเพราะแม้จะได้เปรียบการร่วมทุนตรงที่ไม่ต้องไปเริ่มตั้งบริษัทใหม่ แต่นักลงทุนต่างชาติจะมีปัญหาด้านการกำหนดราคาสินค้า หรือมีปัญหาในการประสานงานกับบริษัทเดิมได้ง่าย การทำธุรกิจที่นิยมจึงยังเป็นรูปแบบของการร่วมทุนอยู่อย่างเดิม

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เมื่อขมวดปมเข้าจะพบว่า ต้นตอมาจากที่เดียวกัน คือการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตอย่างรวดเร็วของรัฐบาล

ความเห็นในจุดนี้ไม่ได้มีแต่เพียงในส่วนของนักวิเคราะห์เท่านั้น แม้แต่ หวาง บิง เกียน อดีตรัฐมนตรีคลังของจีนก็ได้กระตุ้นให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ลดการเติบโตของเศรษฐกิจลงแล้วหันกลับไปใช้นโยบายการวางแผนจากส่วนกลาง เพราะเขาเห็นว่า "การสร้างใหม่นั้นไม่ผสานกับการวางแผนของรัฐบาล ซึ่งถ้าสมดุลโดยรวมไม่ดีแล้วจะเป็นการบั่นทอนความกระตือรือร้นของประชาชน ทำลายประเทศ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้ทุกอย่างช้าลง"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.