"ข้อตกลงเพื่อการแย่งชิงตำแหน่งดาวเทียมบนอวกาศ"


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

"นับวันการแย่งชิงตำแหน่งดาวเทียมในอวกาศจะมีมากขึ้น การเจรจาหาทางออกตั้งอยู่บนข้อตกลงระหว่างประเทศซึ่งมีอยู่มากมาย"

หากจะท้าวความถึงข้อเขียนในครั้งก่อน ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาของหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการจัดสรรตำแหน่งวงโครจรดาวเทียม

โดยเริ่มจากประเทศกำลังพัฒนาได้หวั่นเกรงเมื่อเวลาประเทศที่มีความพร้อมที่จะส่งดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าวงโครจรจะแออัดไม่มีตำแหน่ง

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจึงเสนอแนวความคิด และหลักการเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในการสื่อสารให้เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษย์ชาติแต่กลุ่มประเทศพัฒนา ซึ่งมีขีดความสามารถและความพร้อมทุกด้านอยู่ในฐานะที่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติในฐานะ "ผู้มาก่อน ย่อมได้ก่อน" ก็ยังพยายามยึดถือในหลักเกณฑ์นั้น

จนกระทั่งมีการแก้ไขบทบัญญัติในอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ 1982 ว่า "วงโคจรดาวเทียมเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัดจะต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดเพื่อว่าประเทศหรือกลุ่มประเทศอาจจะมีส่วนได้ใช้อย่างเป็นธรรม"

แม้ว่าในอนุสัญญาจะคำนึงถึงความเป็นพิเศษของประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็ยังไม่ได้เป็นหลักประกันอย่างเต็มที่จึงมีการประชุมฝ่ายบริหารระดับโลกด้านการวิทยุ ว่าด้วยตำแหน่งในวงโคจรดาวเทียม เพื่อการสื่อสารโทรคมนาคมและกำหนดแผนการเพื่อใช้ประโยชน์ของบริการสื่อสารทางอวกาศระหว่างปี 1981-1988

และในท้ายที่สุดได้กล่าวถึงปัญหาของเชียแซทของฮ่องกง ได้ร้องเรียนต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่า วงโคจรของดาวเทียมไทยคมที่จะส่งขึ้นไปในอวกาศมีการซ้อนทับกัน ทำให้ต้องมีการหันหน้าเข้าเจรจากันแบบพหุภาคีหรือ ทวีภาคี เพื่อหาข้อยุติ

สิ่งจำเป็นสำหรับการเจรจาในระดับรัฐ คือ เราต้องพิจารณาถึงข้อตกลงข้อผูกพันที่ประเทศได้ลงนาม และมีผลผูกพันอันจะเป็นกรอบในการเจรจาและเป็นสิ่งที่สนับสนุนการเจรจาให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

บรรดาข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและโทรคมนาคมที่ประเทศไทยได้ลงนามและมีผลผูกพันมีหลายฉบับ โดยแยกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรและกฎเกณฑ์ เทคนิคเกี่ยวกับการสื่อสาร

โทรคมนาคม

2. ข้อตกลงระหว่างประเทศที่สะท้อนแนวคิด และหลักกฎหมายระหว่างประแทศเรื่องการจัด

ระเบียบการสื่อสารระหว่างประเทศใหม่

3. กฎหมายภายในที่ออกมาเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการ

สื่อสารโทรคมนาคม

ข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรและกฎเกณฑ์ด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสื่อสาร

โทรคมนาคม

ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรที่ใช้ในกิจการสื่อสารโทรคมนาคมอันได้แก่คลื่นวิทยุ (RADIO

WAVE) และตำแหน่งในวงโคจรดาวเทียมเพื่อการสื่อสารโทรคมนาคม (THE GEOSTATIONARY ORBIT) มีจำกัด จึงมีความจำเป็นในการร่วมมือกันระหว่างประเทศต่าง ๆ จัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมข้อตกลงระหว่างประเทศดังกล่าวดังต่อไปนี้คือ

1.1 อนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATION TELECOMMUNICATION CONVENTION) ซึ่งเป็นอนุสัญญาก่อตั้งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION UNION) ในปี 1932 หลังจากนั้นก็ได้มีการแก้ไขและรับรองอนุสัญญารวมถึง 7 ครั้ง ซึ่งอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศฉบับปัจจุบันคือ INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION CONVENTION (NAIROBI) 1982 โดยอนุสัญญาดังกล่าวได้บัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรของ ITU และกฎเกณฑ์กว้าง ๆ เกี่ยวกับการสื่อโทรคมนาคม ส่วนกฎเกณฑ์เฉพาะของบริการสื่อสารโทรคมนาคมนั้นได้บัญญัติไว้ในข้อบังคับ (REGULATION) โดยประเทศสมาชิกจะลงนามในสัตยาบันสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของข้อบังคับดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 43 วรรค 1 และมาตรา 83

ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาโทรเลขระหว่างประเทศปี 1875 และได้ลงนามในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการโทรเลขระหว่างประเทศ ที่แก้ไขใหม่เรื่อยมา จนสืบเนื่องมาเป็นอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ 1982 ในปัจจุบัน

1.2 ข้อบังคับการโทรเลข 1973 (TELEGRAPH REGULATION) และข้อบังคับการโทรศัพท์ (TELEPHONE REGULATION) 1973 ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะทางด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคมและถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาโทรคมนาคมระหว่างประเทศนั่นเอง อย่างไรก็ดีเนื่องจากเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคมได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ยากที่จะแยกว่าการบริการใดเป็นโทรเลข และการบริการใดเป็นโทรศัพท์ จึงได้มีข้อบังคับการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION REGULATION) 1988 ซึ่งมีผลบังคับใหม่ได้ให้คำนิยามศัพท์ไว้ในลักษณะกว้าง ๆ ที่ยืดหยุ่นได้เพื่อที่จะครอบคลุมการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนั้นเอง

1.3 ข้อบังคับการวิทยุปี 1959 และข้อบังคับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะทางด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคม โดยคุณลักษณะเฉพาะของความถี่คลื่นวิทยุข้อบังคับการวิทยุจึงได้พื้นที่ของโลกออกเป็น 3 ภูมิภาค (REGION)

ภูมิภาคที่ 1 คือ บริเวณทวีปยุโรปและแอฟริกา ภูมิภาคที่ 2 คือบริเวณทวีปอเมริกาทั้งหมด ภูมิภาคที่ 3 คือบริเวณเอเชีย

นอกจากนี้ยังต้องแบ่งคลื่นความถี่วิทยุออกเป็นแต่ละช่วง โดยพิจารณาจากการนำไปใช้งาน และแบ่งความถี่คลื่นวิทยุ (RADIO FREQUENCY) ออกเป็น 9 แถบเพื่อใช้ในกิจการต่าง ๆ กัน และจัดสรรให้ประเทศต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคด้วย

1.4 กรรมการสุดท้ายของการประชุมฝ่ายบริหารระดับโลกด้านโทรเลขและโทรศัพท์ (FINAL ACT OF THE WORLD ADMINISTRATIVE TELEGRAPH AND TELEPHONG CONFERENCE : WARC) ซึ่งเป็นมติของที่ประชุมของการประชุมใหญ่ฝ่ายบริหารซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งในสหภาพโทรคมนาคมนั้น

โดยองค์กรดังกล่าวจะจัดประชุมทุก 3-7 ปี การโทรศัพท์และข้อบังคับวิทยุกรรมการสุดท้ายที่ประเทศไทยลงนามและให้สัตยาบันฉบับปัจจุบันคือ กรรมการสุดท้ายของการประชุมใหญ่ ฝ่ายบริหารระดับโลกด้านโทรเลขและโทรศัพท์ 1973 (GENEVA) นั้นเอง

1.5 ข้อแนะนำ (RECOMMENDATIONS) ต่าง ๆ ทางด้านเทคนิคของคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาการโทรเลขและโทรศัพท์ระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL CONSULTATIVE RADIO COMMITTEE) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์การปฏิบัติในการให้บริการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ กำหนดประเภทบริการสื่อสารโทรคมนาคมใหม่ กำหนดมาตรฐานทางเทคนิคและกำหนดมาตรฐานอัตราค่าบริการโดยปรับปรุงและแก้ไขข้อแนะนำทุก 5 ปี

ประเทศสมาชิกจะนำไปปฏิบัติโดยมิต้องลงนาม แต่ก็มีผลผูกพันรัฐสมาชิกให้ปฏิบัติตามด้วย ความจำเป็นและผลประโยชน์ร่วมกันในการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคม (NOT LEGAL BINDING BUT TECHNICAL BINDING)

ข้อตกลงระหว่างประเทศที่สะท้อนแนวคิดและหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องการจัดระเบียบสื่อสารระหว่างประเทศใหม่

2.1 อนุสัญญาว่าด้วยหลักการที่ใช้บังคับกิจกรรมขอองรัฐในการสำรองและใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศ รวมทั้งดวงจันทร์ และเทหวัตถุอื่น ๆ ปี 1967 (TREATY ON PRINCIPLES GOVERNING THE ACTIES OF STATES IN THE EXPLORATION AND USE OF OUTER SPACE, INCLUDING THE MOON AND OTHER CELESTRAIL BODIES 1967) สนธิสัญญาฉบับนี้มิได้บัญญัติถึงกิจกรรมสื่อสารโทรคมนาคม ระบบดาวเทียม แต่เมื่อพิจารณามาตรา 4 แล้วน่าจะตีความได้ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้รับรองให้การส่งดาวเทียมสื่อสาร ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในทางสันติขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ ประเทศสมาชิกภาคีมีอำนาจรัฐเหนือดาวเทียมที่จดทะเบียนแต่รัฐจะต้องรับผิดชอบต่อกิจกรรมในห้วงอวกาศของดาวเทียมด้วย

2.2 ความตกลงเกี่ยวกับองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (AGREEMENT RELATION TO THE INTERNATIONAL TELECOMMUNICATIONS SATELLITE ORGANIZATION : INTELSAT) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศในเชิงพาณิชย์ (COMMERCIAL BASIS) ในลักษณะของการลงหุ้นและคืนเงินปันผลคล้ายสหกรณ์ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง INTELSAT ขึ้นในปี 1964 SATELLITE CORPORATION ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดการ

INTELSAT แต่เดิมมิได้มีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ แต่เป็น CONSORTIUM ต่อมาภายหลังประเทศสมาชิกไม่เห็นด้วยกับระบบ CONSORTIUM จึงได้มีการเจรจาและบรรลุถึงข้อตกลงใหม่จัดตั้ง INTELSAT เป็นองค์การระหว่างประเทศขึ้นในปี 1973

กฎหมายภายในที่ออกมาเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสื่อสารโทรคมนาคม

กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ของรัฐ ในการดำเนินการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และดำเนินการตามเทคนิค ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผูกพันในระดับรัฐบาลหรือเฉพาะฝ่ายบริหารเท่านั้นที่จะต้องปฏิบัติตาม จึงไม่ต้องตรากฎหมายออกมารองรับเพราะไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 162 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521

แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมบางฉบับ กำหนดให้ประเทศสมาชิกจะต้องให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (PRIVILEGS AND IMMUNITIES) และการดำเนินงานขององค์กรตามที่อนุสัญญาฉบับนั้นได้บัญญัติไว้

ในกรณีเช่นนี้ก็จะต้องตรากฎหมายขึ้น เพื่อคุ้มครองการดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว เพราะการที่องค์กรจะได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันนั้นมิใช่นำไปใช้ยืนยันกับฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น

แต่องค์กรย่อมจะต้องได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มครองจากทุกท่าน และใช้อ้างต่อพลเมืองของประเทศสมาชิกได้ด้วย

การที่องค์กรใด ๆ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้นครองกันย่อมเป็นการจะต้องได้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ย่อมเป็นการได้รับสิทธิพิเศษแตกต่างไปจากพลเมืองของรัฐและอาจจะกระทำการในลักษณะที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของพลเมืองของรัฐ

อนุสัญญาใด ๆ ที่บทบัญญัติให้เอกสิทธิ์และความคุ้มครองแก่องค์กรตามที่อนุสัญญาดังกล่าวกำหนดไว้ย่อมอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 162 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521

ประเทศไทยรับหลักการนี้ จึงมี พ.ร.บ.คุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติ และทบวงชำนาญการพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 ซึ่งให้ความคุ้มครองกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศและ พ.ร.บ. คุ้มครองการดำเนินงานขององค์กรโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ พ.ศ.2524

ถึงแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีข่าวว่าปัญหาเรื่องวงโคจรดาวเทียมที่ซ้อนทับกันระหว่างดาวเทียมไทยคม กับดาวเทียมของฮ่องกง ได้มีการเจรจาประนีประนอมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม

แต่ประเทศไทยยังมีปัญหากับกฎหมายภายในนั่นคือ กฎหมายโทรคมนาคมของไทย ได้กลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาการสื่อสารและโทรคมนาคมของประเทศ

กล่าวคือ บทบัญญัติของ พ.ร.บ. โทรเลขและโทรศัพท์ 2477 ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐมีความสามารถเพียงพอที่จะให้บริการประชาชนได้

แต่ว่าในปัจจุบันประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกหลายประเทศซึ่งเป็นประเทศแม่แบบของกฎหมายที่รัฐผูกขาดการให้บริการโทรคมนาคม ต่างก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมาย โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนในการให้บริการด้านการโทรคมนาคม เช่น ประเทศอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น

ในประเทศไทยองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทยเอง ก็มีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและ TECHNOLOGY ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ จึงต้องมีการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะมิฉะนั้นแล้วการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ คงไปไม่ไกลได้เท่าที่ควร



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.