จากอดีตเจ้าของ "บริษัทบางกอกวอเตอร์รีซอส" โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อโรงงานอุตสาหกรรมเขตสมุทรปราการวันนี้
"สมพงษ์ ฝึกการค้า" ได้กลายเป็นเจ้าของ "บริษัทบางกอก ไมโครบัส"
ผู้รับสัมปทาน 10 ปีทำธุรกิจวิ่งรถโดยสารปรับอากาศขนาดเล็กจำนวน 400 คัน
บนเส้นทาง 10 สายในเขตธุรกิจ
ประมาณสิงหาคมปีหน้าไมโครบัสคันแรกก็จะเปิดบริการให้ใช้ได้ในเส้นทางสายแรกจากจำนวน
10 สาย ซึ่งประกอบด้วย หนึ่ง เส้นทางสายจตุจักร-ประชาชื่น ระยะทาง 20 กม.
สอง เส้นทางสายสีลม-ประตูน้ำระยะทาง 12 กม. สาม เส้นทางสายวงเวียนใหญ่-ปทุมวัน
ระยะทาง 19 กม. สี่ เส้นทางสายท่าน้ำสี่พระยา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิระยะทาง
16 กม. ห้า เส้นทางสายเดอะมอลล์ท่าพระ-หัวลำโพง ระยะทาง 24 กม. หก เส้นทางสายลุมพินี-พระโขนง
ระยะทาง 17 กม. เจ็ด เส้นทาง สายรามคำแหง 39-ถนนพระรามที่ 9 ระยะทาง 14 กม.
แปดเส้นทางสายสถานีขนส่งสายใต้ใหม่-สามเสน ระยะทาง 14 กม.เก้า เส้นทางสายบางลำภู-ขนส่งสายใต้ใหม่-ท่าพระ
ระยะทาง 27 กม. และสิบ เส้นทางสายเซ็นทรัลลาดพร้าว ระยะทาง 27 กม.
"ในหลักการที่พูดกันแบบเดิมคือให้วิ่งเป็นวงในกรุงเทพ จากจุดธุรกิจไปยังจุดธุรกิจอีกแห่งหนึ่ง
นี่คือคอนเซปท์เวลาเราประมูลเราไม่อยากจะกำหนดเส้นทางให้เพราะเราอยากให้เอกชนกำหนดว่าอะไรทำแล้วกำไร
อะไรทำแล้วไม่กำไรซึ่งถ้าโครงการนี้ออกมาแล้วจะวิ่งในจุดธุรกิจเช่น อนุสาวรีย์ไปสีลมไปทางคลองเตย
เป็นวงกลม" ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุลหรือ "หม่อมเต่า" อธิบดีกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ
ขสมก. เล่าให้ฟัง
ในอดีตสมพงษ์เคยเป็นตำรวจกองทะเบียนรถยนต์และมีธุรกิจเดินรถเมล์วิ่งเส้นทางบางลำภู-หมู่บ้านเศรษฐกิจและสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้จากสงครามเวียดนามซึ่งสมพงษ์ทำธุรกิจเดินรถขนส่งทหาร
จีไอ. ของสหรัฐจากสนามบินดอนเมืองไปยังโรงแรมต่าง ๆ ในกรุงเทพ-ด้วยรถโค้ชปรับอากาศ
หลังสงครามเลิกไปเขาได้หันมาเป็นตัวแทนขายรถดั้มพ์และนำเข้าเครื่องจักรขนาดใหญ่ในกิจการรับเหมาก่อสร้าง
ผู้ร่วมลงทุนกับสมพงษ์ในโครงการไมโครบัสนี้ ได้แก่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งถือหุ้น
10% ของทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชน (ขสมก.) ถือหุ้น 20%
โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัท บางกอกมอเตอร์ อิควิปเมนท์ถือ 70%
"การถือหุ้นของบริษัทในโครงการไมโครบัส 70% นั้นบริษัทจะถือจริงแค่
51% ส่วนที่เหลือ 19% กำลังเจรจากับสถาบันการเงินในประเทศอยู่ เพื่อให้เข้าถือหุ้นดังกล่าว
หลังการดำเนินการไประยะหนึ่งจะมีแผนนำบริษัทเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
และเมื่อสัญญาเดินรถได้สิ้นสุดลง ขสมก.จะต่อสัญญาให้อีกคราวละ 2 ป ี"
สมพงษ์เล่าถึงแผนการในอนาคตของบริษัท
สายสัมพันธ์ดั้งเดิมของสมพงษ์กับสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่ต่อเนื่องจากโครงการจัดหาน้ำดิบเป็นเพราะ
จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขณะนั้นเป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันขึ้น
ดังนั้นเมื่อจิรายุขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินฯ และเห็นว่าโครงการจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจึงเข้าถือหุ้นในโครงการนี้ด้วย
"กรณีที่เราเข้าร่วมทำโครงการไมโครบัสด้วย เพราะมีการพูดถึงปัญหาจราจร
เมื่อมีคนเขาคิดปรับปรุงบริการแก่มวลชนเพื่อลดปัญหาลง เราก็ให้ความร่วมมือถือหุ้นในบริษัท
บางกอกไมโครบัส ประมาณ 20 ล้านบาทหรือ 10%" จิรายุ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินเล่าให้ฟัง
ในระยะแรกจุดคุ้มทุนในเชิงพาณิชย์ของการดำเนินธุรกิจนี้ สมพงษ์ในฐานะผู้ก่อการได้ให้ทัศนะว่า
ตนเองไม่ได้คาดหวังว่ากี่ปีจะคุ้มทุน แต่บริษัทได้เห็นปัญหาจราจรคับคั่งเป็นสิ่งน่าวิตกสำหรับชีวิตประจำวัน
บริษัทจึงเน้นให้บริการมากกว่าเก็งกำไร
ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงเพราะต้องการเน้นบริการของไมโครบัส ทำให้บริษัทต้องมีการให้บริการประกันชีวิต
ชั้นหนึ่งแก่ผู้โดยสาร เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ส่วนภายในรถจุที่นั่งได้เพียง
20 ที่นั่งซึ่งไม่คุ้มทุน ขณะที่รถเมล์หรือ "รถร้อน" ตามศัพท์
ที่หม่อมเต่ากล่าวว่ารถนี้ออกแบบรับผู้โดยสารเกินกว่า 95-140 คนนอกจากนี้ยังต้องติดตั้งเครื่องกรองอากาศ
โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบการ์ดโฟน พร้อมหนังสือพิมพ์และเปิดเพลงผ่อนคลายอารมณ์ให้ฟังด้วย
"รถไมโครบัสเราจะรับประกันที่นั่งว่าไม่ให้มีการยืน" สมพงษ์
กล่าว
เมื่อพิจารณาจากค่าโดยสารที่กำหนดว่าปีแรกเก็บราคา 15 บาทปีที่สองเก็บ
20 บาทปีที่สามเก็บ 25 บาทปีที่สี่เก็บราคา 30 บาทปีที่ห้าราคา 40 บาทปีที่หกถึงปีที่
10 เก็บราคา 40 บาทตามแต่ว่าคณะกรรมการกรมขนส่งทางบกเป็นผู้กำหนด
รายได้จากค่าโดยสารเหล่านี้บริษัทบางกอกไมโครบัส ต้องจ่ายค่าสิทธิตามสัญญาเดินรถ
กับ ขสมก. ดังนี้ ค่าดำเนินการ ปีละ 5% ของรายได้หรือไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทและ
35% ของกำไรในปีที่สองหรือปีต่อมาจะต้องแบ่งให้ทาง ขสมก. ด้วย
"ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าโครงการนี้จะไปรอดหรือเปล่า?
แต่เพื่อให้บริการแก่ประชาชนส่วนรวมและแก้ปัญหาจราจร ผมคิดว่าเราน่าสนับสนุน"
จิรายุให้ความเห็น
อย่างไรก็ตามบนเส้นทางสายธุรกิจของสมพงษ์ ฝึกการค้าก็ยังคงมุ่งมั่นต่อไปในการที่จะรุกเข้าคุมพื้นที่ในสัมปทานโครงการสาธารณูปโภคแม้ว่า
ครั้งหนึ่งเขาจะต้องล้มเหลวในโครงการบางกอกวอเตอร์รีซอสก็ตามที !