น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้งเคยเป็นนักบินทหารมาก่อนในฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตร
เกียรติได้ผ่านสมรภูมิรบเมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีชื่อฝรั่งที่บรรดาเพื่อนฝูงพากันเรียกชื่อเกียรติว่า
"TOM CHENG"
ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบครั้งนั้น ส่งผลผูกพันจากอดีตสู่ปัจจุบันที่ทำให้เกียรติสามารถตั้งบริษัทกู๊ดเยียร์
(ประเทศไทย) ขึ้นได้ เนื่องจากประธานกู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) ก็มาจากเพื่อนที่อยู่ในกองทัพเดียวกัน
"นอกจากนี้กิจการบริษัท แทรเวิล เอเยนต์ เมโทรโพลก็เกิดขึ้นเพราะคอนเนคชั่นดั้งเดิมตรงนี้ด้วย
ที่ทำให้ท่านทำธุรกิจได้เยอะมาก" อรุณี โศภิษฐ์พงศธร บุตรสาวของเกียรติ
ศรีเฟื่องฟุ้งเล่าถึงที่มาของสายสัมพันธ์ธุรกิจเก่าแก่
สมรภูมิสนามรบได้พลิกผันชะตากรรมของเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ขณะที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยลินนานที่กวางเจา
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยคริสเตียน สงครามเอเชียบูรพาได้ระเบิดขึ้น ญี่ปุ่นเข้าครอบครองเมืองจีน
เกียรติไม่สามารถติดต่อกับเมืองไทย ความอดอยากยากแค้นระบาดไปทั่ว เกียรติไม่มีทั้งเงินและงาน
เพราะไม่มีใครมีเงินจ้าง สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอดในยามสงครามนี้
เกียรติต้องสมัครเข้าเป็นทหารฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ต้องผ่านข้อสอบจึงจะได้รับการบรรจุกินเงินเดือนมีขั้น
โชคดีที่เกียรติสอบผ่าน และได้เข้าไปอยู่ในกองทัพอากาศอเมริกัน ความเฉลียวฉลาด
มีปฏิภาณไหวพริบ เรียนรู้ได้เร็วทำให้ผู้บังคับบัญชาชมชอบเกียรติ หรือ "TOM
CHENG" มาก ๆ
เกียรติได้เล่าให้อรุณี บุตรสาวที่เขียน "THE BOY FROM SUPHANBURI"
บันทึกประวัติชีวิตของตนฟังว่า หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมนักบินที่ลุคส์ฟิลด์
เท็กซัส สหรัฐฯ แล้ว เขาได้กลับเมืองจีนและได้รับตำแหน่งเป็นกัปตัน บรรจุเข้าหน่วยรบ
"กองทัพที่ 14" (THETH AIRFORCE BASE) ซึ่งมีฐานการบินอยู่ที่เมืองคุนมิง
แม่ทัพบัญชาการของกองทัพที่ 14 นี้คือนายพลแชนนอล (GENERAL CHENNUALT)
ซึ่งเป็นผู้นำของหน่วยรบกล้าตาย "FLYING TIGER" (พยัคฆ์ติดปีก)
อันมีชื่อเสียงจากการสู้รบกับญี่ปุ่นจนประสบชัยชนะหลายครั้ง ต่อมาหน่วยรบ
"FLYING TIGER" นี้ได้กลายมาเป็นกองทัพที่ 14 อันแกร่งกล้าขึ้น
ในสมรภูมิรบครั้งสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เกียรติหรือ TOM CHENG ทำหน้าที่ขับเครื่องบินทิ้งระเบิดและบรรทุกสินค้าตลอดจนได้รับมอบภารกิจสำรวจเส้นทางและเป็นครูฝึกทหารจีน
"ตอนนั้นท่านเล่าว่า เอเชียอาคเนย์ทั้งหมดถูกญี่ปุ่นครอบครองและได้ข่าวจากครอบครัวทางเมืองไทยว่า
ผู้ใหญ่จุ้ย ผู้เป็นบิดานั้นอยู่ในบัญชีดำของทางการญี่ปุ่น เพราะทำงานใต้ดินอย่างลับ
ๆ เพื่อช่วยพวกเสรีไทยซึ่งขณะนั้นมี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชเป็นผู้นำปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากญี่ปุ่น
ผู้ใหญ่จุ้ยถูกจับได้ขณะพยายามจมเรือบรรทุกสินค้าญี่ปุ่น" ลูกสาวที่ใกล้ชิดเกียรติเล่าให้ฟัง
"ท่านเล่าว่า สงครามเป็นเวลาที่น่ากลัว เวลาเพื่อนรักถูกฆ่าคนแล้วคนเล่า
คืนนี้นอนด้วยกัน พรุ่งนี้ไม่เห็นแม้เงา และอีกอย่างหนึ่ง การสู้รบกับญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้องทำศึกกลางเวหา
เพราะเครื่องบินญี่ปุ่นที่ทาด้วยสีเหลือง จะมีลักษณะเบามากกว่า สามารถเลี้ยวได้คล่องแคล่วว่องไวเปรียบเหมือนรถโตโยต้า
ขณะที่เครื่องบินของอเมริกัน มันทั้งหนักและแข็งแรงเหมือนรถแคดิแลค ที่เทอะทะใหญ่โตหมุนกลับลำได้ยากกว่า
ดังนั้นคงนึกภาพออกว่า เวลาทำศึกกันผลมันจะเป็นอย่างไร?" อรุณีรำลึกถึงคำบอกเล่าของพ่อ
ครั้งหนึ่งเหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้นในชีวิตการเป็นนักรบของเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง
เมื่อเกียรติถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าเป็น "RUNAWAY CAPTAIN" !!
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเกียรติเป็นจ่าฝูงนำเครื่องบินรบเก้าลำออกไปสู้รบกับญี่ปุ่น
ความได้เปรียบของเครื่องบินอเมริกันที่แข็งแรงกว่าและสามารถบินสูงเหนือกว่าคู่ต่อสู้
ทำให้ญี่ปุ่นไม่รู้ตัว ฝ่ายของเกียรติเปิดฉากโจมตียิงเครื่องบินญี่ปุ่นก่อน
แต่ยิงได้เพียงสามนัด เครื่องบินญี่ปุ่นก็ตอบโต้อย่างหนักจนกระทั่งเกียรติเห็นท่าว่าจะสู้ไม่ได้จึงสั่งให้ทุกคนถอยหนี!
"เมื่อกลับมาถึง ผู้บังคับบัญชาและคนอื่น ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะ
และเรียกพ่อว่า RUNAWAY CAPTAIN แต่ที่พ่อทำเพื่อรักษาชีวิตทุกคน นายของพ่อไม่เข้าใจ
แต่เพื่อน ๆ เข้าใจดีและยังคงใช้วิธีการของพ่อตลอดคือหนีเอาตัวรอดให้ได้"
เกียรติได้เล่าให้ลูกสาวฟังถึงการตัดสินใจในครั้งนั้น
"ท่านได้ทำชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ไม่ใช่ในรูปแบบที่ทุกคนเรียกว่าวีรบุรุษ
แต่เป็นบุรุษที่เอาตัวรอดได้เยี่ยมยอด" อรุณีให้ความเห็น
หากจะกล่าวอีกแง่มุมหนึ่ง ยามสงครามที่คนแปลกหน้าต่างฆ่ากันและกันโดยมิได้ขุ่นแค้นกันด้วยเรื่องส่วนตัว
เกียรติคงได้พบสัจธรรมว่าการเป็น "นักรบ" นั้น แตกต่างจากความเป็น
"นักฆ่า" โดยสิ้นเชิง นักรบย่อมเห็นคุณค่าของชีวิตตนเองและผู้อื่น
ฉะนั้นเขาจึงไม่โอ้อวดตัวเองหรือเสี่ยงภัยอย่างไร้สาระ หากพยายามทะนุถนอมชีวิตไว้เพื่อมอบให้กับเป้าหมายที่เหมาะสมจริง
ๆ
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถ้าเกียรติตัดสินใจบ้าบิ่นไปอีกทางหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ธุรกิจเมืองไทยคงจะไม่มีตำนานมหาเศรษฐีอย่าง "เกียรติ
ศรีเฟื่องฟุ้ง" เป็นแน่แท้ คงจะมีแต่ "วีรบุรุษที่ตายแล้ว"
ผู้มีชื่อว่า "CAPTAIN TON CHENG" จารึกไว้ในอนุสาวรีย์วีรชนกลางสมรภูมิรบนั้นแล้วก็ได้!!