บนเวทีการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ สยามสตีลกรุ๊ปแสดงบทบาทผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ที่สุดของประเทศ
มีโครงการจะลงทุน BACKWARD INTEGATION ในโครงการเหล็กพรุน และตั้งใจจะเป็น
FORWARD ROLLING MILL CENTER ความฝันถึงโครงการเหล็กสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องที่คนในวงการหัวเราะเงียบ
ๆ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ แต่สยามสตีลกรุ๊ปกำลังท้าพิสูจน์ว่าเขาทำได้!!
"สยามสตีลได้ไฟเขียว โครงการเหล็กรูปพรรณ 1,200 ล้านผ่าน" พาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์รายวันสะท้อนให้เห็นถึงการคืบหน้าของสยามสตีลกรุ๊ป
ที่รุกเข้าไปในอุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างได้แล้วด้วยแรงสนับสนุนจากวีระ สุสังกรกาญจน์
รมช. อุตสาหกรรมขณะนั้น หลังจากที่ต้องฟาดฟันกับสหวิริยากรุ๊ปซึ่งคัดค้านมาตลอดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโครงการเหล็กรีดร้อนรีดเย็นที่ได้รับความคุ้มครอง
10 ปี
"โครงการนี้ผมเสนอไปตั้งแต่ยังหนุ่มมากจนเป็นหนุ่มน้อย" วันชัย
คุณานันทกุล กรรมการผู้อำนวยการพูดทีเล่นทีจริงอย่างยิ้ม ๆ
โครงการเหล็กรูปพรรณที่สยามสตีลกรุ๊ปจะทำนี้เป็นอุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว
(LONG PRODUCT) ที่มีความหนาตั้งแต่ 2.5-60 มม.ใช้ในงานก่อสร้างอาคารใหญ่
ๆ และโรงงานได้ ซึ่งแตกต่างจากโครงเหล็กทรงแบน (FLAT PRODUCT) ประเภทเหล็กรีดร้อนรีดเย็นของสหวิริยากรุ๊ป
ที่ผลิตมาแปรรูปเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นตู้เย็นหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เหล็กแผ่นบางกว่า
คือมีความหนาเพียง 1.2-12 มม.
แต่ที่ก่อให้เกิดความระแวงแคลงใจแก่สหวิริยากรุ๊ปอย่างมากก็คือ กรรมวิธีการผลิตของทั้งสองประเภทมีลักษณะ
OVERLAP กัน เพราะทั้งคู่ต้องใช้เครื่องรีดร้อนเหล็กแผ่น (HOT STRIP MILL)
ที่อาจจะทำให้สยามสตีลกรุ๊ปผลิตสินค้าประเภทเดียวกันออกมาตีตลาดได้
ดังนั้น เมื่อสยามสตรีลกรุ๊ปได้ไฟเขียวจากกระทรวงอุตสาหกรรมในโครงการเหล็กรูปพรรณมูลค่า
1,200 ล้านบาทนี้จึงได้มีเงื่อนไขที่ห้ามไม่ให้จำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อน ในลักษณะแผ่นเรียบ
หรือม้วนออกสู่ตลาดทั่วไปแต่ให้ผลิตเพื่อใช้ในโรงงานของตัวเองเท่านั้น ยกเว้นแต่จะยกเลิกประกาศนโยบายอุตสาหกรรมผลิตเหล็กแผ่นของกระทรวงอุตสาหกรรมผลิตเหล็กแผ่นของกระทรวงอุตสาหกรรมวันที่
24 พ.ย. ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
การตีกันของสหวิริยาครั้งน ี้แม้จะไม่สามารถหยุดการเกิดของสยามสตีลกรุ๊ปได้
แต่สหวิริยากรุ๊ปก็สามารถตั้งเงื่อนไขล้อมกรอบการเติบใหญ่ของคู่แข่งขันได้บ้าง
บนเส้นทางไม่ต่ำกว่าสามทศวรรษของการแข่งขันกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ ซึ่งต่างก็กำเนิดและเติบโตมาจากคนละจุด
ขณะที่ผู้บริหารสหวิริยาสองพี่น้องคือคุณหญิงประภา วิริยะประไพกิจและวิทย์วิริยะประไพกิจเริ่มต้นมาจากพ่อค้าขายเศษเหล็ก
สยามสตีลกรุ๊ปได้คือกำเนิดจากช่างทำเฟอร์นิเจอร์ละแวกคลองเตย ที่พัฒนาและแปรรูปการใช้เหล็กให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
(VALUE ADDED STEEL) เช่น ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ คอนเทนเนอร์ ฯลฯ จนกระทั่งทุกวันนี้สยามสตีลได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ที่สุด
"ลักษณะเด่นของกลุ่มสยามสตีลของเราคือเป็นนักแปรรูปโลหะในแขนงที่เรามีความชำนาญ"
วันชัย คุณานันทกุล กรรมการผู้อำนวยการสยามสตีลกรุ๊ปให้นิยามตัวเอง
ในปี 2496 ที่พี่น้องชาวจีนแคะ "แซ่คู" ทั้งสมชัย ครุจิตรและวันชัย
คุณานันทกุลได้มานะบากบั่นสร้างตัวจากกิจการเล็ก ๆ ชื่อร้านศรีเจริญจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เหล็กผสมไม้และทำเก้าอี้เหล็กพับ
เป็นที่นิยมของตลาดทั่วไป
ระยะต้น ๆ บทบาทของสมชัย ครุจิตร (ซึ่งเปลี่ยนมาจากชื่อจีนว่า หลู แซ่จิ๊บ)
จะมีมากกว่าวันชัยและอนันตชัย เนื่องจากความเป็นพี่ใหญ่ของครองครัวและประสบการณ์ด้านช่างเฟอร์นิเจอร์ที่มุมานะทำงานหามรุ่งหามค่ำ
เอาหยาดเหงื่อแรงงานแลก ทำให้สมชัยได้ใช้ประสบการณ์นี้บุกเบิกด้านโรงงานและการตลาดในหมู่พ่อค้าชาวจีนด้วยกัน
จนกระทั่งในปี 2500 ร้านศรีเจริญได้ขยับฐานะเป็น "ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ศรีเจริญ" พัฒนาสินค้าหลากหลายรูปแบบทั้งตู้ โต๊ะ เก้าอี้เหล็ก มีการทำตลาดโดยผ่านเอเยนต์ร้านค้าจำหน่าย
และเริ่มมีการติดต่อกับต่างประเทศเช่นไต้หวัน เป็นต้น
ในอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้วการผลิตเฟอร์นิเจอร์เหล็กยังขยายตัวไม่มากนัก
มีโรงงานผลิตเพียง 2-3 ราย เช่น ห้างสวยสมพล เป็นต้น ราคาเฟอร์นิเจอร์เหล็กจึงอยู่ในระดับสูง
ทำให้ความต้องการอยู่ระดับต่ำ
ระยะสิบปีต้น ๆ สามพี่น้องทั้งสมชัย-วันชัย และอนันตชัยต้องใช้ความพยายามและอดทนอย่างมาก
โดยใช้วิธีขายตรงกับลูกค้าทั้งรายบุคคลและเป็นกลุ่มเช่นธนาคาร หน่วยราชการ
จนประสบความสำเร็จระดับต้นในตลาดเฟอร์นิเจอร์เหล็ก
ปี 2512 มีการแบ่งแยกการผลิตออกจากการจำหน่ายโดยเด็ดขาด ขณะที่ศรีเจริญทำหน้าที่จัดจำหน่าย
ก็ได้แยกสายการผลิตด้วยการตั้งโรงงาน ช. สยามโลหะภัณฑ์ขึ้นที่ถนนปู่เจ้าสมิงพราย
จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีการนำเข้าเหล็กจากญี่ปุ่นเข้ามาเป็นวัตถุดิบ ช่วงนี้การเปิดสัมพันธ์ทางการค้ากับญี่ปุ่นเริ่มปรากฏกลุ่มบริษัทโอคามูระได้สั่งศรีเจริญทำเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปบ้าง
ระหว่างปี 2510-2511 หลังจากที่บุกเบิกการผลิตและขายสำเร็จ สมชัย ครุจิตร
พี่ใหญ่ของครอบครัวก็ได้บุกเบิกด้านโรงงานบริษัท สหไทยสตีลไพพ์ผลิตเหล็กรีดเย็นเช่นท่อเหล็กดำ
ท่อเหล็กชุบสังกะสีและเหล็กรูปต่าง ๆ สำหรับประกอบเฟอร์นิเจอร์ ปัจจุบันใช้เงินลงทุนถึง
440 ล้านบาท
ทิศทางการตั้งโรงงานนี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารศรีเจริญได้เดินไปภายใต้กลยุทธ์ลดต้นทุนวัตถุดิบให้ต่ำ
แทนที่จะสั่งนำเข้าท่อเหล็ก หรือชิ้นส่วนประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ
ผู้บริหารศรีเจริญได้ตัดสินใจเริ่มต้นลงทุนในลู่ทางใหม่ ๆ ที่จะผลิตชิ้นส่วนสำคัญ
ๆ เอง และได้แตกตัวไปทำท่อร้อยสายไฟ ชิ้นส่วนรถจักรยาน ฯลฯ
ทั้งนี้เพราะต้นทุนการผลิตจะต่ำลง เนื่องจากการผลิตโต๊ะ ตู้ ตู้เซฟและอื่น
ๆ นั้นเป็นค่าวัตถุดิบเหล็กถึง 51-64% ขณะที่ค่าแรงงานเพียง 4.3% และค่าโสหุ้ยอื่น
ๆ อีก 3.74% ของต้นทุนทั้งหมด
ในปี 2515 กิจการครอบครัวเริ่มมีลักษณะร่วมทุนกับคนนอก โดยก่อตั้งบริษัทไทยดีคอราผลิตแผ่นฟอร์ไมก้ายี่ห้อ
"TD-BOARD" ใช้ตกแต่งตู้ โทรทัศน์ เครื่องเสียง ตู้โต๊ะ ฯลฯ แต่ภายหลังบริษัทนี้ได้ยุบตัวไปเพราะตลาดเสื่อมความนิยม
ในปี 2522 ประตูการค้าระหว่างประเทศได้เปิดกว้างขึ้น ศรีเจริญได้ก้าวกระโดดด้วยการร่วมทุนกับบริษัทโอคามูระ
(โอกามูระแปลว่าหมู่บ้านภูเขา) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งญี่ปุ่น
ก่อตั้งบริษัทศรีเจริญอุตสาหกรรม (1979) ทำหน้าที่จัดจำหน่าย และได้ขยายโชว์รูมสองสาขาที่พระโขนงและสุขุมวิท
ความได้เปรียบในเชิงสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ทุกชนิดจะได้รับการยกเว้นภาษีส่งออกจากกรมศุลกากรบวกกับแรงงานมีคุณภาพของศรีเจริญอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ
ทำให้การร่วมทุนเป็นไปอย่างแฮปปี้ทั้งสองฝ่าย
ความพยายามที่จะขยายกิจการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ให้กว้างไกล โดยอาศัยเครือข่ายการตลาดระหว่างประเทศของคู่ค้าอย่างโอคามูระ
และเทคโนโลยีที่สูงกว่ามาพัฒนาการผลิตเฟอร์นิเจอร์ นับเป็นการมองการณ์ไกลที่ทำให้กิจการครอบครัว
"คุณานันทกุล" นี้มีความมั่นคงและแข็งแรงขึ้นในเชิงธุรกิจ
ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์เหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้า "ลักกี้"
และ "คิงด้อม" ได้ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมาและแตกขยายกิจการไปสู่อาณาจักรธุรกิจที่ร่วมทุนกับต่างประเทศได้ไม่ต่ำกว่า
20 แห่งโดยมีบริษัทสยามสตีลกรุ๊ปอินเตอร์เนชั่นแนลเป็นบริษัทแม่ถือหุ้นในเครือ
(ดูตารางประกอบ)
ปัจจุบันการแตกตัวของสยามสตีลกรุ๊ปมีลักษณะการแบ่งประเภทธุรกิจออกเป็นสองกลุ่มคือ
หนึ่ง-กลุ่มบริษัทเฟอร์นิเจอร์ (FURNITURE GROUP) ซึ่งเป็น CORE BUSINESS
ที่นำชื่อเสียงและภาพพจน์ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ของไทยมาสู่กิจการของกลุ่ม
ได้แก่
บริษัทศรีเจริญอุตสาหกรรม ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์เหล็ก "ลักกี้"
และ "คิงด้อม" จำหน่ายในประเทศรวมทั้งนำเข้าและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ด้วย
ศรีเจริญฯ มีสินค้าไม่ต่ำกว่า 3,200 ชนิด มีส่วนแบ่งตลาด 70% โดยเน้นการขายส่งผ่านตัวแทนจำหน่าย
81.36% ของยอดขาย 1,377 ล้านบาทในปีนี้ ปัจจุบันศรีเจริญมีเอเยนต์รายใหญ่ถึง
51 ร้านทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
ปัจจัยด้านแหล่งเงินทุน ศรีเจริญอุตสาหกรรมกำลังจะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้
โดยมี บงล. ภัทรธนกิจเป็นแกนนำจัดจำหน่ายและรับประกันหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน
1,825 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท แต่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปหุ้นละ
130 บาท
"ผมมีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะเราเปิดให้คนนอกเข้ามาร่วมบริหารด้วย
เราจะพัฒนาระดับให้มันเป็นสากลมากขึ้น ทุนที่เราได้จะนำไปสร้างศูนย์บริการเฟอร์นิเจอร์
เพื่อให้ความสะดวกสำหรับเอเยนต์และมีโชว์รูมสินค้าด้วย" วันชัยเผยถึงแผนการตลาดที่จะใช้เงินทุนมากถึง
90 ล้านบาทในภาคเหนือ ภาคใต้และอิสานที่จะจัดตั้งศูนย์จำหน่าย
นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งวันที่วันชัยบอกกล่าวถึงการเข้าตลาดหุ้น แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่านั้นอยู่ที่ธุรกิจของศรีเจริญอุตสาหกรรมใช้เงินมากเนื่องจากเป็น
CAPITAL INTENSIVE การหาทางเลือกของแหล่งระดมทุนที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยหรือต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าต้องการให้บริษัทมีความเจริญเติบโตต่อไป
โครงการที่กล่าวถึงกันมากคือเป้าหมายของศรีเจริญฯ ที่จะขยายไปสู่การผลิต
COMBINE FURNITURE SYSTEM อันเป็นระบบเฟอร์นิเจอร์เอนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือต่อเติมอย่างมีประสิทธิภาพมูลค่าการลงทุนเพื่อผลิตระบบดังกล่าวนี้ต้องใช้เงินถึง
285 ล้านบาทเพื่อลงทุนในเครื่องจักรและอาคารโรงงานมูลค่านับร้อยล้านบาท แต่แทนที่จะกู้เงินต่างประเทศมาเป็น
SUPPLIER CREDIT ในการจัดซื้อเครื่องจักร ก็ได้ใช้เงินทุนส่วนหนึ่งจากตลาดหลักทรัพย์มาเป็นเงื่อนไขของการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่าได้
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทเฟอร์นิเจอร์ยังได้แก่บริษัทสยามโอคามูระสตีลซึ่งผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ออฟฟิศ
ออโตเมชั่นเพื่อการส่งออก เป็นการร่วมทุนครั้งแรกระหว่างตระกูลคุณานันทกุลกับบริษัทยักษ์ใหญ่เฟอร์นิเจอร์ของโลกอย่างบริษัท
OKAMURA CORPORATION
"เขาร่วมลงทุนกับเราโดยทางตรงและทางอ้อมในบริษัทศรีเจริญฯ ด้วย โดยทางตรงถือหุ้น
10% แต่ทางอ้อมก็คือการร่วมทุนตั้งบริษัทสยามโอคามูระสตีลกับเรา โดยทางเราถือ
40% ในนามของศรีเจริญ" ซึ่งจะเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว"
วันชัยกล่าวถึงการร่วมทุนกับโอคามูระ
นอกเหนือจากนี้ ยังมีบริษัทสยามชิโตเซะ ที่เน้นการผลิตและจำหน่ายเก้าอี้เพื่อการส่งออกเป็นหลักโดยอาศัยเทคโนโลยีจากการร่วมทุนกับบริษัท
CHITOSE MANUFACTUREING CO.,LTD.
และบริษัทสยามฟูจิแวร์ ซึ่งผลิตเหล็กเคลือบอีนาเมลและเหล็กไร้สนิมที่ใช้ทำอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว
สอง-กลุ่มบริษัทที่ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ (NON-FURNITURE GROUP) จัดเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มแรก
และเป็นสิ่งสะท้อนถึงทิศทางและกลยุทธ์การเติบโตที่ยิ่งใหญ่กว่ากลุ่มแรกในทศวรรษที่สองถึงปัจจุบัน
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ วันชัย คุณานันทกุลที่ดำเนินโครงการร่วมทุนเหล่านี้
"เมื่อสิบปีกว่ามาแล้ว ผมเห็นว่าตลาดขยายตัวเร็วมาก การพัฒนาตลาดด้วยตัวเราเองคงจะไม่ทันการณ์เราจึงเปิดประตูให้ต่างชาติที่มีเทคโนโลยี
และช่องทางการจัดจำหน่ายทางการตลาดเข้ามาร่วมทุนกับเราด้วยตัวนี้ทำให้เราพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วยิ่งขึ้น
ตลอดจนพัฒนาคนและตลาดควบคู่กัน" วันชัยกล่าวถึงประโยชน์ของการร่วมทุนไม่ต่ำกว่าสิบบริษัทที่ได้ทั้งแหล่งเงินทุน
เทคโนโลยีและที่สำคัญคือตลาดโลก
บริษัท ไทรอัมพ์สตีลก่อตั้งในปี 2520 ผลิตเหล็กรูปรีดร้อนเช่น เหล็กรูปพรรณรูปตัวแอล
และตัวยูชนิดต่าง ๆ เหล็กแหนบ เหล็กแข็ง ใช้เงินลงทุนถึง 300 ล้านบาท ผู้ร่วมทุนคือไต้หวัน
สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งผู้ดึงสายสัมพันธ์ต่างประเทศนี้ก็คือวันชัย คุณานันทกุล
ในปี 2528 วันชัยแสดงบทบาทนำในเรื่องการร่วมทุนกับต่างประเทศ ที่ได้กลายเป็นหัวหอกของการบุกเบิกกิจการให้กว้างไกลมากขึ้น
โดยต่อมาได้ร่วมมือกับบริษัทโอกายา โอกิ ตั้งบริษัทยูเนียนออโตพาร์ทส มานูแฟคเจอริ่ง
ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้แก่โรงงานประกอบเช่น ยามาฮ่า ฮอนด้า คาวาซากิและซูซูกิ
"บริษัทโอกายา โอกิเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นที่เก่าแก่มาก
มีอายุถึง 300 ปี เขาให้ความสนใจ และขอความร่วมมือจากเรา ตอนนั้นเราเป็นบริษัทศรีเจริญฯ
แล้ว จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ คอนเนคชั่นนี้ก็ยังดีอยู่นิสัยของเราไม่เคยลืมเพื่อนเก่าถ่ายทอดกันเป็นชั่วอายุคนทีเดียว"
วันชัยเล่าให้ฟัง
สายสัมพันธ์ธุรกิจยิ่งใหญ่กับโอกายา ได้กลายเป็นสินทรัพย์อันมีค่าที่ทำให้วันชัยใช้ขยายกิจการไปสู่
"บริษัทศูนย์บริการเหล็กสยาม" ในปี 2529 ด้วยเงินทุนมหาศาลถึง
1,200 ล้านบาท ดำเนินการผลิตชิ้นส่วนโลหะป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าและโครงเหล็กสำหรับงานก่อสร้างทั่วไป
โดยมีผู้ถือหุ้นอื่นอีกสองรายคือ TOYOTA TSUSHO CORP. และมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น
"ศูนย์บริการเหล็กสยามนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ทสี่กลุ่มคือ หนึ่ง-อุตสาหกรรมรถยนต์
สอง-เครื่องใช้ไฟฟ้า สาม-วัสดุก่อสร้างและสี่เฟอร์นิเจอร์ เพราะเป็นโรงงานผลิต
PRIMARY COMPONENTS แทนที่บริษัทอื่น ๆ จะไปตั้งครัวขึ้นมาแบบต่างคนต่างปรุง
ก็ให้บริษัทนี้ตั้งครัวใหญ่ปรุงให้ทุกคน" วันชัยมักชอบเปรียบเทียบการปรุงแต่งเหล็กเหมือนงานปรุงอาหารในครัวเสมอ
ขณะที่กิจการขยายไปสู่ต่างประเทศ ชื่อของศรีเจริญอุตสาหกรรมเริ่มเป็นที่เรียกยากเสียแล้วสำหรับคนต่างชาติ
วันชัยได้ตั้งบริษัทขึ้นใหม่ใช้ชื่อจำง่าย ๆ ว่า "สยามสตีลกรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล"
ในปี 2530 ทำหน้าที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้นในบริษัทลูก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ
ตั้งแต่ปี 2530 การเติบโตชนิดก้าวกระโดดของสยามสตีลกรุ๊ปได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วการขยายตัวเปิดกิจการใหม่
ๆ เกิดขึ้นทุกปี รวมมูลค่าเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท วันชัยต้องทำงานเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง
เพื่อเจรจาต่อรองธุรกิจกับคู่ค้าร่วมทุน และมีการติดต่อกับบีโอไออย่างใกล้ชิดเนื่องจากโครงการร่วมทุนเหล่านี้ขอรับการส่งเสริม
ปีนี้เองได้มีการตั้งบริษัทสยามมัตสุชิตะสตีลดำเนินการผลิตท่อร้อยสายไฟและอุปกรณ์ต่อเนื่องต่าง
ๆ โครงการนี้ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่พึ่งพาจากมัตสุชิตะแห่งญี่ปุ่น บริษัทนี้มีครอบครัวคุณานันทกุลถือหุ้นใหญ่และบริษัทมัตสุชิตะ
อิเลคทริคเวิร์คและบริษัทมิตรสยามถือหุ้นอยู่ 49
ในปีที่แล้วได้มีการขยายกำลังผลิตท่อร้อยสายไฟเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากปีละ
24,000 ตันเป็น 48,000 ตัน ใช้เงินลงทุนถึง 400 ล้านบาท
"การร่วมทุนกับต่างชาติเราถือว่าเป็นสินทรัพย์อันหนึ่งที่ประมาณค่าไม่ได้
ถือว่าเป็นกู๊ดวิลล์ที่เขาเชื่อถือเรามาก เช่นบริษัทมัตสุชิตะที่ผลิตเนชั่นแนลเขาจะมาทำอุตสาหกรรมนี้ในไทย
ก็ติดต่อกับเราโดยตรง โดยเราทำธุรกิจกันแบบไม่มี JOINT VENTURE AGREEMENT
เลย เป็นการพูดด้วยวาจาสองครั้งกับผู้บริหารของมัตสุชิตะเท่านั้น โรงงานแห่งนี้ใช้เวลาเตรียมงานน้อยกว่า
6 เดือนอีก" วันชัยเล่าให้ฟังถึงภาพพจน์ของกลุ่ม
ในปีเดียวกัน บริษัทสยามยูไนเต็ดไฮเทค ก็เกิดขึ้นเพื่อทำอุปกรณ์คีย์บอร์ด
คอมพิวเตอร์ บริษัทนี้เดิมชื่อ "บริษัทไทรอัมพ์ทอย" เคยเป็นโรงงานผลิตของเล่นเด็ก
แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงเปลี่ยนกิจการใหม่ไปทำสินค้าไฮเทคที่อาศัยวัตถุดิบจากพลาสติคเช่นเดียวกัน
โครงการนี้ร่วมกับญี่ปุ่น ทำการผลิตประมาณ 3 ล้านเครื่องต่อปี โดยตลาดส่งออกหลัก
ๆ ได้แก่สหรัฐอเมริกาและยุโรป
"ทางเราจะประสานงานกับบริษัทฮันนี่เวลล์" วันชัยเอ่ยถึงลูกค้าที่สั่งผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์รายใหญ่
ในปีถัดมา กลยุทธ์การแตกตัวไปให้ครบวงจรในอุตสาหกรรมจักรยานก็เกิดขึ้นโดยมีการร่วมทุนกับไต้หวันและสหรัฐอเมริกาตั้งบริษัท
"สยามไซเคิล แมนูแฟคเจอริ่ง" จำหน่ายจักรยานชนิดต่าง ๆ เพื่อส่งออกเป็นหลักในตลาดญี่ปุ่นสหรัฐอเมริกาและไต้หวัน
โดยมีจำหน่ายในไทย 20% ใช้ยี่ห้อว่า "แพนเธอร์" โครงการนี้ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอตั้งแต่พฤศจิกายน
2530
"ตลาดรถจักรยานของสหรัฐเป็นตลาดใหญ่มาก ไต้หวันที่เป็นคู่แข่งส่งออกปีละ
10 กว่าล้านคันแต่ผู้ผลิตไทยเรามองข้ามไป ดังนั้นเราจึงตั้งขึ้นมาเพื่อแข่งขันด้านคุณภาพและราคาที่ดีกว่า"
วันชัยเล่าให้ฟัง
บริษัทสยามไซเคิลฯ นี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของสุรศักดิ์ คุณานันทกุล
ลูกชายคนโตของวันชัย เป็นผู้จัดการทั่วไป สุรศักดิ์จบการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น
มีชื่อเล่นว่า "สือ" สมรสแล้วกับสาวไต้หวันชื่อ "เกี่ยย้ง"
มีลูกชายแฝดชื่อกิติชัยและกิติศักดิ์
"ตอนนี้ผมจะจับด้านจักรยานเต็มตัวมากกว่าทางด้านเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งแต่ก่อนผมจะดูแลด้านส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในนามของบริษัทสยามโอกามูระ"
สุรศักดิ์เล่าให้ฟัง
ขณะเดียวกันโรงงานผลิตชิ้นส่วนจักรยานก็ได้แยกมาตั้งอีกบริษัทว่า "สยามยูไนเต็ดไซเคิล"
เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทอเมริกัน ไซเคิล ซิสเต็ม อินคอร์ปอเรชั่น และบริษัทไต้หวัน
โพลีเทคเอ็นเตอร์ไพร์ส ใช้เงินลงทุน 275 ล้านบาท
ยุคทองของเศรษฐกิจไทยปี 2532 ได้พาความโชติช่วงมาสู่สยามสตีลกรุ๊ป กิจการใหญ่
ๆ ได้เกิดขึ้นถึงสี่บริษัท ได้แก่ บริษัทสยามสตีลคอนเทนเนอร์ บริษัทสยามฟูจิแวร์
(1988) บริษัทสยามเพอร์สตอร์ป และบริษัทสยามชิโตเซะ รวมมูลค่าเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท
ในสี่บริษัทนี้ รายการ "คุณขอมา" ได้เกิดขึ้นกับบริษัทสยามสตีลคอมเทนเนอร์
เนื่องจากระยะหนึ่งบีโอไอได้ส่งเสริมออกอุตสาหกรรมยางน้ำหรือลาเท็กซ์มากมาย
แต่พ่อค้าไทยต้องประสบปัญหาที่ถังบรรจุยางลาเท็กซ์นี้ขาดแคลนเพราะมาเลเซียไม่ยอมขายให้ไทย
อ้างว่าน้ำยางไทยไปตีตลาดของเขาทางบีโอไอจึงร้องขอให้วันชัยเข้าไปช่วยผลิตถึงบรรจุน้ำยางนี้ให้
ปัจจุบันมีกำลังผลิตประมาณ 1 ล้านถังต่อปีทดแทนการนำเข้า
"ผมไม่มีเจตนาจะทำธุรกิจด้านนี้ จึงให้เถ้าแก่ทุกคนเข้ามาร่วมกันถือหุ้นในบริษัทและกำหนดราคาขายกันเอง
เพื่อให้เขาคุมกันเองและไม่ต้องกังวลว่ากำไรมากหรือน้อย แต่โชคไม่ดี อุตสาหกรรมยางไม่ค่อยดีระยะนี้"
วันชัยเล่าให้ฟังถึงบริษัทสยามสตีลคอมเทนเนอร์ที่มีลักษณะการร่วมทุนแปลกออกไปจากบริษัทอื่น
ในปี 2532 นี้เอง การร่วมทุนที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของวันชัยก็คือ โครงการร่วมทุนมูลค่า
500 ล้านบาทกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยุโรป บริษัทเพอร์สตอร์ป ที่ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเคมี
อินดัสเทรียล ลามิเนต วันชัยได้ดึงสายสัมพันธ์ที่เคยร่วมทำการค้ากันบ้างแล้วมาตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ
"บริษัทสยามเพอร์สตอร์ป" ดำเนินการผลิตแผ่นเมลามีนสำหรับตกแต่ง
โดยเพอร์สตอร์ปถือหุ้นใหญ่ 51% โรงงานมีกำลังผลิต 2.25 ล้านตารางเมตรและได้ส่งออกไปฮ่องกง
ออสเตรเลีย มาเลเซีย ไต้หวัน
"มิชชั่นที่ไปสวีเดีนคราวนั้น ผมไปเป็นทางเครื่องระดับชาติ โดยในงานเซ็นสัญญาทางเรามีรมต.
เป็นพยาน สำหรับเขาก็มี รมต. พาณิชย์แห่งนอร์ดิคที่ไม่ใช่แค่ รมต. สวีเดนเป็นพยาน
โดยมีผมเป็นเพรสิเดนท์ฝ่ายไทยและทางฝ่ายนั้นก็มี มร.โซเบิร์ตเป็นเพรสิเดนท์และประธานหอการค้าสวีเดนลงนามด้วย"
วันชัยเล่าด้วยความภูมิใจ
ภาพพจน์ของสยามสตีลในวงการค้าระหว่างประเทศยิ่งดูดีมากขึ้นจากความเชื่อถือนี้
ทำให้ในปี 2533 และในปี 2534 โครงการขนาดใหญ่มูลค่านับพันล้านบาทเกิดขึ้น
โครงการขนาดใหญ่อันแรกคือ - โครงการแรกผลิตตู้คอนเทนเนอร์ มูลค่า 1,444
ล้านบาทในนามของบริษัทสยามคาร์โก้ คอนเทนเนอร์ ที่เกิดขึ้นจากการมองเห็นโอกาสการเติบโตของปริมาณคาร์โก้ที่ผ่านท่าเรือกรุงเทพได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่าตัวในระยะ
5 ปีที่ผ่านมา และตู้คอนเทนเนอร์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 เท่า เหตุผลจากการค้าและตลาดความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ทำให้บริษัทนี้เกิดขึ้น
"เราคัดเลือกผู้ร่วมทุนที่มีพลังทางเศรษฐกิจในแต่ละสาขาและพร้อมจะทำงานร่วมกัน
เช่นฮุนไดเจ้าตลาดตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และมิตซูบิชิก็เป็นเทรดดิ้งเฟิร์มที่ใหญ่มาก
พูดง่าย ๆ ทั้งเราและเขาต่างก็สนใจซึ่งกันและกัน" อนันตชัย คุณานันทกุล
กรรมการรองผู้อำนวยการเปิดเผยถึงเบื้องหลังการร่วมทุน
เป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละปีที่ต้องผลิตให้ได้ถึง 60,000 ทีอียู ได้อาศัยเครือข่ายมิตซูบิชิ
คอร์ปอเรชั่นที่มีสำนักงานทั่วโลก 173 แห่งเป็นผู้วางแผนการตลาดให้
"ในไตรมาสแรกของปีนี้ เราได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าแล้วถึง 3,000 ทีอียู
และตั้งเป้าหมายรายได้ต่อปีจะต้องได้ถึง 100 ล้านเหรียญ โดยปีแรกจะมีกำลังการผลิตประมาณ
20,000 ทีอียู ส่วนแบ่งตลาดของตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจะมาถึง 60% ขณะที่อีก
40% เป็นของตู้ขนาด 40 ฟุต" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ฮิราโน่เล่าให้ฟังถึงเป้าหมาย
ซึ่งต้องมีคู่แข่งรายสำคัญสองบริษัทคือ บริษัท "บีซีไอ" (บางกอก
คอนเทนเนอร์ อินดัสทรี) ที่ทำมาแล้ว 3 ปีและบริษัท "เอสยูซี" (สยาม
ยูเนียน คอนเทนเนอร์) ที่เพิ่งผลิตปีที่แล้ว
โครงการขนาดใหญ่อันดับสอง-โครงการท่าเรือขนถ่ายสินค้าสมบูรณ์แบบ ดำเนินการในนามของบริษัท
"สยามแลนด์แอนด์ซี เซอร์วิส" ที่ดินที่จะสร้างท่าเรือในสยามแลนด์นี้มีประมาณ
50 ไร่อยู่บริเวณใกล้โรงงานของสยามสตีลกรุ๊ปที่ปู่เจ้าสมิงพราย
"เหตุที่ต้องมีท่าเรือเพราะเรานำเข้าชิ้นส่วนและส่งออกสินค้าในเครือมากมาย
โครงการนี้เราได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอแล้ว และในอนาคตคิดว่าจะรองรับอุตสาหกรรมในละแวดนี้ได้จำนวนมากแทนที่จะต้องไปใช้ท่าเรือคลองเตยให้ยุ่งยาก"
วันชัยคาดหวังไว้ให้ฟัง
บุรุษอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในสยามสตีลกรุ๊ป ก็คืออนันตชัย คุณานันทกุล
น้องเล็กของสมชัยและวันชัย อนันตชัยได้บริหารดูแลการตลาดภายในของผลิตภัณฑ์ในเครือสยามสตีลกรุ๊ป
โดยภาพพจน์ของอนันตชัยที่มีตำแหน่งทางสังคม เป็นประธานหอการค้าสมุทรปราการ
บุคลิกที่มีท่วงทำนองเยือกเย็นได้เคยเป็นนายแบบกิตติมศักดิ์โฆษณาบ้านจัดสรร
"ศรีเจริญวิลล่า" นอกจากนี้ล่าสุดอนันตชัยได้รับเกียรติเป็นพ่อดีเด่นของลูกทั้งสามคือ
เอกสิทธิ์ กัลยาและพิสิทธิ์ที่เกิดจากภรรยาชื่อ "อุไร" อนันตชัยมีสายสัมพันธ์ธุรกิจในกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจย่านสมุทรปราการ
ก่อให้เกิดมีโครงการที่แตกตัวไปจากอุตสาหกรรมเหล็กหลายโครงการ อาทิเช่น
บริษัท ศรีเจริญบ้านและที่ดิน เป็นกิจการก้าวแรกด้านพัฒนาที่ดินของครอบครัวนี้
ตั้งขึ้นเมื่อปี 2527 ดำเนินงานหมู่บ้านจัดสรรศรีเจริญวิลล่าบนเนื้อที่ 300
ไร่ ย่านถนนเทพารักษ์ กม.ที่ 5.5
"ศรีเจริญวิลล่าความจริงเกิดขึ้นเพราะเพื่อนฝูงมาชักชวนให้ทำ เราก็คิดกันว่าที่ดินที่เราตั้งใจจะซื้อมาทำโรงงานจำนวน
300 ไร่นั้นก็น่าจะมาทำเป็นคอมเพล็กซ์ขึ้น พรรคพวกจะได้มีโอกาสมาอยู่ร่วมกันคุยกันเล่น
ๆ แต่ภายหลังก็ทำขึ้นมาจริง ๆ อันนั้นไม่ใช่อาชีพแต่เป็นมือสมัครเล่นมากกว่า"
อนันตชัยเล่าให้ฟังถึงที่มาของศรีเจริญวิลล่า
นอกเหนือจากโครงการหมู่บ้านจัดสรรแล้วอนันตชัยได้วางแผนลงทุนทำสปอร์ตคอมเพล็กซ์ในนาม
"บริษัท สยามสปอร์ต บิสสิเนส เวอร์ค" บนเนื้อที่ 50 ไร่ติดกับหมู่บ้านศรีเจริญวิลล่า
โดยแบ่งเป็น 5 ส่วนคือ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ ศูนย์นันทนาการ ศูนย์บริการเช่นห้องเสริมสวย
ซักอบรีด ตู้นิรภัย และศูนย์สื่อสาร โครงการนี้ต้องใช้เงินถึง 2,000 ล้านบาท
และตอนนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโดย ดร. รชฎ กาญจนวณิชย์และกิตติ ถนัดสร้าง
"เราทำขึ้นมาเพื่อบริการนักธุรกิจในย่านสมุทรปราการซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม
เพราะมีโรงงานมากถึง 4,000-5,000 โรง แต่ไม่มีสถานที่พักผ่อนเล่นกีฬา ถ้าจะเข้ามาในเมืองก็เจอปัญหารถติด
2-3 ชั่วโมง มันก็ไม่ไหว เราจึงคิดทำโครงการนี้ขึ้นมา" อนันตชัยเล่าให้ฟัง
การสั่งสมที่ดินของครอบครัว "คุณานันทกุล" ส่วนมากจะอยู่บริเวณปู่เจ้าสมิงพราย
จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งกิจการในเครือสยามสตีลกรุ๊ปจะกระจัดกระจายเป็นกลุ่มบริษัท
ๆ
"สำหรับที่ดินโรงงานเรามีอยู่ปัจจุบันประมาณ 200 ไร่ ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจซื้อผืนใหญ่เราก็ทะยอยซื้อทีละแปลง
ราคาก็แพงขึ้นตามลำดับไม่มีที่ดินเพื่อเก็งกำไรเลย เพราะหัวไม่ถึง แต่เราวางแผนระยะยาวไม่ได้เลย
ผมคิดว่าเป็นเรื่องเลื่อนลอยที่จะทำแผนล่วงหน้าถึงห้าปี เพราะเราไม่รู้ว่าอีก
3-5 ปีข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นแน่นอน" วันชัยให้ความเห็นถึงวัตถุประสงค์ของการใช้ที่ดิน
อาณาจักรของผู้ใช้เหล็กขนาดใหญ่ที่มีกิจการไม่ต่ำกว่า 20 แห่งดังกล่าวข้างต้นของสยามสตีลกรุ๊ป
ได้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ทิศทางการเติบโตของกลุ่มนี้พยายามขยายไปในแนวทางของ
BACKWARD INTEGRATION เพื่อผลิตเหล็กให้ครบวงจรและสมบูรณ์แบบ โดยมี ดร. เกษม
ผลาสุวรรณผู้เชี่ยวชาญด้านโลหะวิทยาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ
"ผมรู้จักกับ อจ. เกษมเพราะท่านเป็นที่ปรึกษาบีโอไออยู่ ท่านเป็นมนุษย์เหล็กคนเดียวของเมืองไทยที่รู้จักโลหะวิทยาอย่างดี
ท่านบอกว่าท่านฝันจะตั้งโครงการเหล็กสมบูรณ์แบบนี้ให้สำเร็จ ยังไม่เคยมีใครทำได้จริง
ๆ เหมือนกับผม จึงอาสามาช่วยโครงการนี้" วันชัยเล่าให้ฟังถึงที่ปรึกษาคนสำคัญ
โครงการ BACKWARD INTEGRATION นี้หมายถึงการสร้างโรงรีดเหล็กในลักษณะที่เป็น
ROLLING MILL CENTER ที่ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบก่อน
จากนั้นจึงค่อยสร้างโรงงาน STEEL MAKING ซึ่งจะเป็นโรงงานถลุง-หล่อ-หลอม
เพื่อผลิต SLAB เป็นวัตถุดิบป้อนให้ ROLLING MILL CENTER
แต่สยามสตีลกรุ๊ปก็ไม่สามารถขยายไปในทิศทางนี้ได้ เนื่องจากสหวิริยากรุ๊ปคือผู้ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอเพียงรายเดียว
สามารถคว้าชัยชนะโครงการเหล็กแผ่นรีดร้อน สามารถคว้าชัยชนะโครงการเหล็กแผ่นรีดร้อน
รีดเย็นและเหล็กเคลือบมูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยมีระยะคุ้มครอง 10 ปีตั้งแต่ปี
2533-2543 งานนี้ผู้บริหารสยามสตีลต้องอกหัก
"ทุกวันนี้ผมยังน้อยใจ มีคนคิดว่าผมจะอยากทำโครงการนี้มาก ๆ แต่ผมบอกว่าถ้าผมทำโครงการนี้ผมสมควรจะได้รับเหรียญจึงจะถูก
ทันทีที่ผมได้เห็นประกาศว่าโครงการนี้ไม่ได้รับแล้ว ผมก็เพิ่งหัดเล่นกอล์ฟเพราะมีเวลาว่างที่จะเล่นได้"
วันชัยกล่าวอย่างโล่งอก
ถึงแม้จะพลาดหวังจากโครงการยักษ์ใหญ่ดังกล่าว แต่วันชัยก็คงมีบากบั่นสร้างสรรค์โครงการต่อไปข้างหน้าโดยมีเป้าหมายเป็น
FORWARD ROLLING MILL CENTER ให้ได้ในอนาคต
หนึ่ง-โครงการผลิตสแตนเลส ในนาม "บริษัทสยามอินเตอร์เนชั่นแนล แสตนเลสสตีลเซ็นเตอร์"
ที่มีกำลังผลิตปีละประมาณ 72,000 ตันเงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โครงการนี้จะตั้งที่จังหวัดระยอง
ในพื้นที่ 60 ไร่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 30 เดือนข้างหน้านี้
"โครงการแสตนเลสสตีลของผมเป็นโครงการผลิต COLD ROLL STANDLESS STEEL
ซึ่งสามารถทำเหล็กคาร์บอนสตีลได้ แต่ผมไม่ทำ ทำให้โง่หรือ ? เพราะผมทำแสตนเลสสตีลให้ผลตอบแทนมากกว่าเยอะ
แล้วจะทำคาร์บอนสตีลทำไม?" วันชัยแก้ข้อกังขาให้ฟัง
สอง-โครงการแผ่นเหล็กไร้สนิม ซึ่งผ่านการอนุมัติจากบอร์ดของบีโอไอแล้วโครงการนี้ใช้เงินลงทุน
3 พันล้านบาทมีกำลังผลิต 72,000 ตันต่อปีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาทโรงงานจะตั้งอยู่ที่จังหวัดระยองผลผลิตจะป้อนอุตสาหกรรมอาหารและเคมี
วงการก่อสร้าง
"เราคำนึงถึงลักษณะ ECONOMY OF SCALE ที่ทำให้ประหยัดต้นทุนได้ต่ำที่สุดเช่นถ้าเราผลิตแสตนเลสสตีลต้องให้ได้ประมาณ
6 หมื่นตันซึ่งเวลาตั้งโรงงานจะต้องเป็น 72,000 ตันเพื่อสำรองไว้ 10%"
วันชัยเล่าให้ฟังถึงแนวความคิด
โครงการนี้จะนำผลิตภัณฑ์ออกมาใช้ต่อเนื่องในโรงงานผลิตชิ้นส่วนจากสแตนเลสสตีล
ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนจากแสตนเลสสตีล ซึ่งเป็นโรงงานที่เสนอไปพร้อมกับโครงการผลิตแสตนเลสสตีล
แต่บีโอไอแนะนำให้แยกโครงการออกมา เพราะรายอื่นที่ขอไปไม่มีโครงการต่อเนื่อง
"ที่เกรงกันว่าเหล็กแผ่นไร้สนิมจะล้นตลาดคงจะเป็นไปได้สำหรับผู้ที่ไม่มีตลาดรองรับ
แต่ในบริษัทเราซึ่งเป็นผู้ใช้เหล็กในเครือจำนวนมาก ไม่ว่าจะผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
และอื่น ๆ" วันชัยเล่าให้ฟัง
สาม-โครงการเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ซึ่งเพิ่งได้รับอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรม
ตามแผนงานกำลังผลิตเหล็กโครงสร้างของสยามสตีลกรุ๊ป 900,000 ตันต่อปี จะแบ่งเป็นสี่ประเภทตามวัตถุประสงค์ใช้งาน
คือ
- เหล็กโครงสร้างรูปตัวเอช ตัวไอ ตัวที ฯลฯ ขนาดเบา โดยวิธีเชื่อมขนาดความหนา
3.2-12 มม. กำลังผลิต 300,000 ตันต่อปี
- เหล็กโครงสร้าง BEAM ขนาดหนัก ทำโดยวิธีเชื่อมอย่างหนา 12-60 มม. กำลังผลิต
250,000 ตันต่อปี
- เหล็กรูปพรรณอื่น ๆ เช่นท่อสี่เหลี่ยมและกลมขนาดใหญ่ เข็มพืด FLOOR DECK
ฯลฯ กำลังผลิต 50,000 ตันต่อปี ซึ่งในอนาคตโครงสร้างเสาไฟฟ้าของสยามสตีลกรุ๊ปจะเกิดขึ้น
- เหล็กรูปพรรณประกอบอาคาร CONSTRUCTION COMPONENTS เช่น DECK PLATE METAL
FRAMEWORK กรอบหน้าต่างประตู 300,000 ตันต่อปี ในเรื่องนี้วันชัยได้กล่าวว่า
"การก่อสร้างมีความสำคัญมาก ๆ ทำไมเราต้องไปอิงกับคอนกรีตเพียงอย่างเดียวซึ่งต้องแบกดอกเบี้ยและใช้เวลาก่อสร้างนาน
อย่างเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ เขาทำเป็นโครงสร้างเหล็กและนำเข้าเหล็ก 100% ผมเห็นตัวนั้นจึงคิดว่าจะทำให้ตึก
50-100 ชั้นสร้างเสร็จได้ภายในหนึ่งปี ต้นทุนการใช้เหล็กก็ถูกลงและแข็งแรงมากกว่า
นี่คือโครงการที่ผมจะทำ" วันชัยให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม โครงการเหล็กรูปพรรณนี้ สยามสตีลกรุ๊ปจะมีคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเกิดขึ้น
เนื่องจากทวี บุตรสุนทร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสได้เปิดเผยว่า โครงการนี้ทางกลุ่มได้ร่วมลงทุนกับบริษัท
ยามาโมโต แห่งญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากบีโอไอ
"เหล็กรูปพรรณประเภทนี้ยังไม่มีการผลิตในเมืองไทย ขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้นประมาณ
15% ต่อปี คาดว่าปีนี้ความต้องการจะตกประมาณ 300,000 ตัน" ทวีกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศึกเหนือเสือใต้เกิดขึ้นวันชัยได้วางกลยุทธ์การเติบโตอาณาจักรเหล็กของสยามสตีลกรุ๊ปไว้อย่างมีเป้าหมาย
และผลประโยชน์ที่จะทดแทนการนำเข้าเหล็กมูลค่านับแสนล้านบาทในรูปแบบต่างๆ
ที่ตลาดต้องการ !!