|
ผู้ถือหุ้นกรุงศรีฯไฟเขียวซื้อลิสซิ่ง ดันมาเก็ตแชร์ผงาดเทียบอันดับ1
ผู้จัดการรายวัน(27 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ผู้ถือหุ้นแบงก์กรุงศรีฯอนุมัติทุ่ม 1.7 หมื่นล้านซื้อลิสซิ่งจากกลุ่มจีอีแคปปิตอล ดันพอร์ตสินเชื่อ-มาเก็ตแชร์พุ่งพรวดเทียบ"ธนชาต"อันดับ 1 ของวงการ พร้อมตั้งเป้าในอีก 2 ปีขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 50% ระบุแม้ปีหน้าจะมีความเสี่ยงด้านการเมือง-เศรษฐกิจอยู่แต่เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการปล่อยสินเชื่อเอง
นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการเสนอให้ซื้อหุ้นบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GECAL ในสัดส่วน 100% ในราคา 17,000 ล้านบาท โดยในขั้นตอนต่อไปต้องทำเรื่องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กระทรวงการคลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าไปซื้อหุ้น GECAL ทำให้สินเชื่อของธนาคารเพิ่มขึ้น 90,000 ล้านบาท ส่งผลให้ฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นจาก 15 % เป็น 32-33 % จากเป้าหมายที่ธนาคารตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2553 ฐานสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเป็นสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) ขณะที่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส)ของธนาคารจากปัจจุบันอยู่ที่ 19.7% เมื่อซื้อหุ้น GECAL ทำให้บีไอเอสปรับลดลงเหลือ 16.2 % และเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 12.4 % ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนดไว้มากโดยกำหนดบีไอเอสไว้ที่ 8.5 %
"จากนี้ต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า สินเชื่อรายย่อยจะมีอัตราการเติบโตสูงมากและเป็นการเติบโตในตัวเลข 2 หลัก ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่และเอสเอ็มอีจะเป็นตัวเลขหลักเดียว ส่งผลให้ฐานสินเชื่อรายย่อยของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น"นางเยาวลักษณ์กล่าว
ด้านนายวีระพันธ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารว่า การที่การเจรจาซื้อ GECAL ได้ใช้เวลานานนั้น เนื่องจากทางจีอี แคปปิตอล ที่สหรัฐอเมริกาต้องการขายในราคา 20,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารต้องการซื้อในราคา 16,000 ล้านบาท และในที่สุดก็ตกลงในราคา 17,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าพอใจและเป็นราคาเดียวกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเป็นผู้กำหนด
ทั้งนี้ GECAL ถือว่าเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนดี และการที่จีอีแคปปิตอลตกลงขาย GECAL ในครั้งนี้ เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กำหนดให้สถาบันการเงินถือหุ้นได้ในสถาบันการเงินเดียว และจีอีแคปปิตอลถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา 33 % ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าการถือหุ้นใน GECALในสัดส่วน 100 % และการขายหุ้นในครั้งนี้ส่งผลดีต่อจีอี แคปปิตอลเพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
"จากนี้จนถึงสิ้นปีหรือปีหน้าถ้าการเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจฟุบ มีความเสี่ยงเกิดขึ้นแน่ ซึ่งการเข้าไปซื้อหุ้น GECAL ในครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเหนื่อยน้อยกว่าการที่ไปปล่อยสินเชื่อรายเล็กรายย่อยให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจีอี GECAL ได้ทำธุรกิจในประเทศไทยมา 15 ปี มีทีมงานที่ดีซึ่งการที่ธนาคารไปซื้อในครั้งนี้ จะได้มาพร้อมกับทีมงานและส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ขึ้นมาเท่ากับเบอร์ 1 คือ ธนาคารธนชาตที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 15-20 % ของตลาด ขณะที่ GECAL มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 19-20 %"ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|