ปีเตอร์ รอสคัม กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์ เวนเจอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (SVI) ประกาศกลางที่ประชุมบรรดาโบรกเกอร์ว่า "ผมจะไม่มานั่งตรงนี้
หากไม่มีความเชื่อว่าการถอดป้าย SP บริษัทเซมิฯ จะมีขึ้นในเร็ววันนี้"
วันนั้นปีเตอร์พาคณะผู้บริหาร SVI มาแถลงเกี่ยวกับการกอบกู้ผลการดำเนินงานที่ขาดทุนของบริษัทฯ
และเปิดเผยแผนงาน 3 ปี และประมาณงบดุลให้เหล่าโบรกเกอร์ซักถาม ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากโบรกเกอร์พอประมาณ
ปีเตอร์วางจุดยืนของเขาและสราวุธ มณีเสาวนพ รองกรรมการผู้จัดการ-"คู่ใจ"
ที่ร่วมงานกันมานานตั้งแต่สมัยที่เข้าไปพัฒนากิจการพัทยาฟู้ดแล้วออกมาฟื้นฟู
SVI ว่าเขาสองคนจะมีฐานะเป็นมืออาชีพที่เข้ามากอบกู้กิจการนี้เท่านั้น
"ผมและพรรคพวกมานั่งกัน ณ ที่นี้เพื่อให้พวกคุณประเมินว่า เราสามารถ
TURN THE COMPANY AROUND ได้หรือไม่?" นี่เป็นคำประกาศที่ดูราวกับคำท้าทายต่อข่าวด้านลบของ
SVI ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาที่หุ้นตัวนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ปีเตอร์เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมได้รับการทาบทามเข้ามาบริหาร
SVI จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง" เขาหมายถึงธนาคารเอเชียที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ
SVI และพยายามหาทางแก้ปัญหาลูกหนี้รายนี้ในเรื่องของการบริหารและการถือหุ้น
ปีเตอร์และสราวุธมีสัญญาการบริหารงานที่ SVI นาน 3 ปี ตลอดอายุของสัญญาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ แม้จะมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นก็ตามและ สัญญานี้สามารถต่ออายุได้อีก
คนทั้งสองเข้ามาบริหาร SVI ตั้งแต่ 13 สิงหาคม 2534 ทำหน้าที่แทนเคล้า
ชูลส์กรรมการผู้จัดการคนเดิมที่เข้ามาทำงานได้ประมาณ 1 ปีแต่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์บริษัทให้ดีขึ้นได้
ในเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาปีเตอร์ได้ดำเนินการปรับปรุงหลายอย่างตั้งแต่ละจำนวนพนักงานลงประมาณ
650 คน ทบทวนโครงสร้างการผลิตใหม่มีการรวมบางแผนกงานเข้าด้วยกันเพื่อลดขั้นตอนการติดต่อ
และมีการจ้างวิศวกรเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง
ทำการจัดระบบการเก็บวัตถุดิบใหม่ ตรวจเช็กทุกเดือน การซื้อวัตถุดิบใช้ระบบรวมศูนย์
มีหน่วยงานจัดซื้อเพียงหน่วยเดียว เจรจาโดยตรงกับผู้ขายโดยไม่ได้ผ่านทางแอพซิลอนที่เป็นบริษัทในเครือและเคยเป็นผู้จัดซื้อวัตถุดิบให้
SVI ในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีการเข้มงวดเกี่ยวกับระบบควบคุมภายใน การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นรายเดือนเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับประมาณการที่ตั้งไว้
และยังมีการปรับปรุงทางด้านบัญชีโดยเฉพาะเรื่องวิธีคำนวณต้นทุนสินค้า จัดทำประมาณการใช้เงินทุนหมุนเวียน
ว่าไปแล้วการดำเนินงานต่าง ๆ ของปีเตอร์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ยังไม่มีอะไรแตกต่างไปจากสิ่งที่ชูลส์เคยให้สัมภาษณ์
"ผู้จัดการ" ฉบับกรกฎาคม 2534 เกี่ยวกับแผนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ใน SVI ที่เขาคิดว่าจะทำแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนักเพราะถูกให้ออกเสียก่อนในเดือนสิงหาคมถัดมา
ปีเตอร์เปิดเผยถึงปัญหาสำคัญของ SVI ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมารับงานว่าอยู่ที่การบริหารงานที่ผิดพลาดของกรรมการชุดก่อน
ไม่ว่าจะเป็นกรณี SEAGATE PROJECT ซึ่งเมื่อ SVI ได้ออร์เดอร์มานั้น ไม่ได้มีการประมาณตนว่าสามารถทำงานที่สลับซับซ้อนขนาดนั้นได้หรือไม่
และเมื่อลงมือทำจริง ๆ ก็ไม่สามารถทำได้ ในที่สุดออร์เดอร์นี้ก็หลุด
หรือการที่ผู้บริหารชุดเก่าบอกกับลูกค้าว่า SVI จะทำการผลิตสินค้าหรือมีผลิตภัณฑ์ของตนเอง
ทำให้ลูกค้ากลัวไปว่า SVI จะทำการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของตนเอง ทำให้ลูกค้ากลัวไปว่า
SVI จะใช้เทคโนโลยีของเขาไปผลิต
อันที่จริงแล้ว SVI แม้จะเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์แต่ก็เป็นเพียงผู้ประกอบชิ้นส่วนหรือรับจ้างผลิตชิ้นส่วนตามออร์เดอร์ที่ได้รับเท่านั้น
(SUBASSEMBLY BUSINESS) ไม่มียี่ห้อทางการค้า (BRAND NAME) เป็นของตนเอง
ปีเตอร์ย้ำว่า "SVI มุ่งเป็นผู้รับจ้างประกอบแผงวงจรไม่ใช่ผู้ผลิตภัณฑ์ของตนเอง"
สราวุธอธิบายเสริมด้วยว่า "พวกลูกค้าจะมีการ SUPPLY วัตถุดิบมาให้
SVI ด้วย และจะบอกหมดว่าให้ SVI ทำสินค้าหรือประกอบอย่างไร บอกมาด้วยว่าจะสร้างสายการผลิตอย่างไร"
แผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ มีอยู่นั้นทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และกำหนดกรรมวิธีการผลิตอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เป็นไปตามที่ลูกค้ากำหนดก่อนที่จะมีการผลิตจริง
แผนกฯ ยังจะทำงานร่วมกับลูกค้าในการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกรณีที่ลูกค้าไม่มีหน่วยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองธุรกิจหลักของ
SVI คือการเป็นผู้ประกอบแผงวงจรไฟฟ้าซึ่งปีเตอร์เปิดเผยว่าจะมีการนำเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า
SURFACE MOUNT TECHNOLOGY/SMT คือการติดตั้งอุปกรณ์ บนพื้นแผ่น PRINTED CIRCUIT/PC
โดยไม่ต้องเจาะรู แต่ใช้เทคนิคในการเชื่อมหรือบัดกรี
แต่ SVI ก็ให้ความสนใจในตลาดชิ้นส่วนนาฬิกาแขวนและนาฬิกาข้อมือ รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์การบันทึกข้อมูล
(TRANSPONDER) ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ใช้ฝังในตัวสัตว์เพื่อบันทึกข้อมูลและบัตรประจำตัวเภทต่าง
ๆ (SMART CARD) โดยกรรมวิธีการ ประกอบชิ้นส่วนเหล่านี้จะใช้แบบ SMT และ THRU-HOLE
ตลาดประเภทหลังนี้คือ ตลาดสินค้าเครื่องอุปโภคหรือ OEM
ปีเตอร์เปิดเผยว่ามีการจัดตั้งบริษัทเพื่อเป็นตัวแทนด้านการตลาดขึ้นในยุโรป
ซึ่งเป็นแหล่งลูกค้าหลักของ SVI โดยเฉพาะในเยอรมนี ฮอลแลนด์และอังกฤษ
รายละเอียดเหล่านี้ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่แตกต่างจากแผนงานของชูลส์เลยสักนิดผิดแต่ว่าปีเตอร์อาจจะมีการดำเนินงานไปบ้างแล้ว
ขณะที่ชูลส์ไม่สามารถทำกำไรตามที่ COMMIT ไว้เป็นจำนวน 77 ล้านบาทสำหรับปี
2534 ได้
ปีเตอร์และสราวุธมีเวลา 3 ปีในการกอบกู้บริษัทฯ ตามแผนการเดิมที่วางไว้
เขาทั้งสองอาจโชคดีกว่าชูลส์ตรงที่มีเวลามากกว่า
ครั้งนี้คนทั้งสอง COMMIT การขาดทุนสุทธิในปีแรกที่เข้ามาดำเนินงานไว้ที่
25 ล้านบาท โดยไม่กล่าวถึงผลการขาดทุนดั้งเดิมที่ผ่านมา ขณะที่ในอีก 2 ปีถัดไปจะสามารถทำกำไรสุทธิได้
25 และ 50 ล้านบาทในปี 2536 และ 2537 ตามลำดับ
ทีมผู้บริหารที่มีหัวหน้าทีมชุดใหม่คือปีเตอร์มีข้อได้เปรียบบางอย่างต่างไปจากสมัยชูลส์เป็นผู้บริหารเป็นต้นว่า
เรื่องเครื่องจักรซึ่งมีการลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้วดำเนินการติดตั้งเรียบร้อยแต่บางส่วนยังไม่ได้ใช้ทำการผลิต
ปีเตอร์คาดหมายว่า "SVI จะดำเนินการผลิตได้เต็มความสามารถในช่วงไตรมาสที่
3 ของปีนี้" ซึ่งมีผลให้เขาคาดหมายว่า SVI จะมีกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาสที่
4 ของปีนี้ประมาณ 1.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ในประมาณการงบแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินยังปรากฏว่า SVI
ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียน เพราะมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
ว่าไปแล้วฐานะทางการเงินของ SVI ก็ไม่ใช่จะเลวร้ายจนเกินกว่าจะกอบกู้ขึ้นใหม่ได้ปีเตอร์รับปากว่าหนี้สินจำนวน
76 ล้านบาทที่ค้างชำระมาเป็นเวลานานนั้นจะสามารถเรียกเก็บได้ในเร็ววัน บริษัทฯ
จะไม่ตัดเป็นหนี้สูญเด็ดขาด
ปีเตอร์และสราวุธจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของ SVI กลับคืนมาได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
แม้ว่าคนทั้งสองจะไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาก่อน
แต่ต่างมีความชำนาญในการบริหารโรงงานมาเป็นอย่างดี
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของคนทั้งสองในครั้งนี้ !!