เพราะความที่เขาเป็นคนร่างเล็ก ใบหน้าดูอ่อนวัยเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(กนอ.) ในปลายปี 2533 พอไปปรากฎตัวที่ไหนก็มักจะมีปัญหาว่า เจ้าของงานหาตัว
ดร. หนุ่มคนนี้ไม่เจอ
แต่เมื่อรู้ว่าสมเจตน์ ทิณพงษ์คนนี้นี่แหละคือประธานในงานที่ตนเชิญมา ต่างก็พากันอุทานด้วยความแปลกใจเนื่องเพราะบุคลิกที่ดูเรียบเข้ากับคนง่าย
ช่างคุย ซึ่งออกจะตรงกันข้ามกับบุคลิกของผู้ว่า กนอ. คนเก่า ยิ่งกว่านั้น
อายุ ณ วันที่รับตำแหน่งก็เพิ่งจะ 41 เท่านั้น ก็ยิ่งสร้างความตื่นเต้นแก่คนพบเห็น
สมเจตน์สำหรับในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วจะเป็นที่รู้จักดีมานาน
เขาเป็นรองศาสตราจารย์ ระดับ 9 เคยเป็นผู้ช่วยและรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นหลายคนจึงคุ้นเคยกับการเรียกสมเจตน์ว่าอาจารย์
สมเจตน์เกี่ยวข้องกับงานวิศวะมาตลอด หลังจากที่จบปริญญาตรีด้านนี้จาก UNIVERSITY
OF TASMANIA และปริญญาโทและเอกจาก ASIAN INSTITUTE OF TECHNOLOGY ก็เป็นอาจารย์อยู่หลายปี
พร้อมกันนั้น ก็มีกิจกรรมที่ส่งเสริมประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรรมการบริหารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เป็นกรรมการบริษัทที่ปรึกษา CSA
ด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์-สถาปัตยกรรมยังไม่รวมถึงตำแหน่งเฉพาะกิจในราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นอีกหลายแห่ง
ที่เกี่ยวข้องกับ กนอ. โดยตรงคือ ตำแหน่งกรรมการบริหารของที่นี่ จากความรู้ความสามารถ
และการแสดงออกอย่างมีหลักการ เมื่อมีประเด็นโต้แย้งที่หาข้อสรุปกันไม่ได้ในที่ประชุม
เล่ากันว่าสมเจตน์มักจะเป็นคนซึ่งที่ประชุมให้การยอมรับในแง่ของข้อมูลและความมีเหตุมีผลตลอดมา
เมื่อประทีบ จันทรเขตต์ผู้ว่าคนเดิมลาออก สมเจตน์จึงกลายเป็นตัวเต็งที่บอร์ด
กนอ. หมายตาให้มาเป็นผู้ว่าแทน
แม้ว่าสมเจตน์จะดูหน้าเด็กดังที่หลายคนมักจะวิพากษ์อยู่เสมอว่า ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะก้าวขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้
แต่สำหรับการบริหารยุคใหม่แล้วผู้บริหารมิได้ถูกจำกัดเฉพาะเรื่องของอาวุโส
หากขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ฝีมือและความสามารถเฉพาะตนมากกว่าและเสียงเล่าขานที่ว่าสมเจตน์เป็นคนเอาจริงก็ปรากฏให้เห็น
นั่นก็คือ การสั่งปิดโรงงานรวดเดียว 4 แห่งในนิคมบางปูช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งถูกระบุว่าก่อมลพิษในการปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานจนกว่าจะจัดการให้เรียบร้อย
ได้แก่โรงงานของบริษัท เอเซียไฟเบอร์จำกัด บริษัท พีพีเคฟริกเมนท์ จำกัด
บริษัท เจทีเอ็นเท็กไทร์ จำกัด และบริษัทจักรวาลเคมี จำกัด
สมเจตน์มองว่า ขณะที่แนวโน้มการขยายของอุตสาหกรรมมากขึ้น การเข้มงวดเรื่องปัญหามลพิษย่อมต้องสูงเป็นเงาตามตัวไปด้วย
แต่ละโรงงานจะต้องรับผิดชอบในการป้องกันเรื่องมลพิษอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นของเสียประเภทใดจากโรงงาน
ซึ่งจะกำหนดไว้เป็นกฎปฏิบัติอยู่แล้ว
การเอาจริงเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้บรรดาโรงงานตระหนักเรื่องมลพิษอย่างเคร่งครัดมากขึ้น
มิใช่คนทำดีกับคนทำผิดแล้วมีผลเหมือนกันแต่เมื่อฝ่าฝืนระเบียบก็ต้องลงโทษ
อันเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่กนอ. จะต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดโลกที่มุ่งสู่ระบบเสรี กนอ. เองจึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องและรองรับกับสถานการณ์ที่ผันแปรไปอย่างรวดเร็วได้ทันท่วงทีด้วยการตั้งเขตการค้าเสรี
สมเจตน์พยายามผลักดันให้ตั้งเขตการค้าเสรีในเขานิคมส่งออกเพื่อให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการค้าย่านอินโดจีนแทนสิงคโปร์
เพราะเขาเชื่อว่า "FREE TRADE ZONE" นี้จะเป็นตัวช่วยดึงนักลงทุนได้อย่างมากจากเดิมที่จะมีแค่เขตส่งออกทั่วไปในนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อจะให้บทบาทของ กนอ. เปลี่ยนไป จึงต้องแก้ไข พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522 เพื่อเพิ่มเขตการค้าเสรีซึ่งจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการค้าเช่นเดียวกับสิงคโปร์
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าโดยไม่ต้องมีการชำระภาษีขาเข้า
ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง และจะเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุนเข้าสู่ไทยมากขึ้นดังเช่นที่นักธุรกิจสนใจสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมา
เชื่อว่าการตั้งเขตการค้าเสรีได้เร็วเท่าไร ก็จะทำให้ไทยยกระดับขึ้นทัดเทียมกับสิงคโปร์ได้มากขึ้น
เขตการค้าเสรีที่ว่านี้จะเข้าไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรมที่มีเขตส่งออกทั่วไปในเบื้องต้นก่อน
ซึ่งควรจะมีความพร้อมในเรื่องที่ดินท่าเรือโดย กนอ. ไม่ต้องใช้งบประมาณอะไรแค่กำหนดเขตพร้อมปล่อยให้พื้นที่ปลอดภาษีเท่านั้นเหมือนกับในสหรัฐฯ
หรือสิงคโปร์
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต่อเนื่องยิ่งจะได้ประโยชน์เพราะประหยัดค่าก่อสร้างโกดังเก็บสินค้า
และช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนได้มากทีเดียว
นิคมที่น่าจะเริ่มต้นได้ก่อนและเป็นตัวนำร่องก็คือนิคมแหลมฉบัง นิคมชลบุรีซึ่งมีความพร้อมมากกว่าที่อื่น
ฝันของสมเจตน์เริ่มเป็นจริง เมื่อ ครม. อนุมัติเขตการค้าเสรีของ กนอ. ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเข้าสภานิติบัญญัติร่าง
พ.ร.บ. นิคมอุตสาหกรรม (เพิ่มเติม) และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไปคาดว่าจะเสร็จทันในรัฐบาลชุดนี้
ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนก็ได้ประกาศจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)
ขึ้นนั้นสมเจตน์ยืนยันว่าไม่ซ้ำซ้อนและมีความต่างกันชัดเจน
เนื่องจากเขตการค้าเสรีของ กนอ. จะค้ากับทุกประเทศทำธุรกิจทั้งอุตสาหกรรมและบริการ
เป็นการค้าส่งซึ่งกันและกัน จะไม่มีการค้าปลีกซึ่งเดิมหากจะค้าขายกันข้ามโรงงานจะต้องเสียอัตราศุลกากรทั้ง
2 ด้าน แต่เมื่อแก้ไข พ.ร.บ. ใหม่แล้วก็บังคับใช้ได้เลย คล้าย ๆ กับเป็นการประกอบอุตสาหกรรมนอกประเทศ
แต่เมื่อนำสินค้าเข้ามาขายในประเทศก็ให้ดำเนินการเหมือนกับการนำเข้าธรรมดา
แต่ AFTA จะมุ่งค้าเฉพาะกับกลุ่มอาเซียนเพียง 6 ประเทศ และจำกัดอยู่แค่ 15
กลุ่มอุตสาหกรรม
นอกจากนี้เขตการค้าเสรีของ กนอ. จะจัดสรร กำหนดพื้นที่แน่นอนตามที่จะได้ดำเนินการต่อไป
ส่วน AFTA จะไม่กำหนดพื้นที่เฉพาะ และสามารถค้าได้ทั่วประเทศ
ส่วนความแตกต่างของเขตการค้าเสรีกับเขตส่งออกทั่วไปของ กนอ. จะต่างกันก็คือ
ปัจจุบันเขตส่งออกทั่วไปเป็นการนำเข้าและส่งออก เช่นบริษัทหนึ่งนำเข้ามาเพื่อผลิตและส่งออกไป
แต่เขตการค้าเสรีเป็นเรื่องของบริษัทที่นำเข้ามาผลิต แล้วขายต่อให้บริษัทอื่นเป็นทอด
หรือขายส่งนั่นเอง
สมเจตน์เชื่อว่าความตั้งใจที่เริ่มขึ้นคงจะเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ก่อนเสร็จการเลือกตั้ง
22 มีนาคมนี้ ตามประสาหนุ่มไฟแรงที่อยากเห็นมิติใหม่ ๆ ของ กนอ. ไปก้าวทันโลก