ดัชนี BDI ทะยานดันหุ้นเดินเรือโดดเด่น


ผู้จัดการรายสัปดาห์(24 กันยายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

เทรนด์ค่าระวางเรือเทกองขยับทำนิวไฮ หนุนกำไรหุ้นเดินเรือโดดเด่น เหตุจากความต้องการขนส่งในจีนเป็นหัวแรงดึง โบรกฯเชื่อยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงได้ถึงสิ้นปี

จากแนวโน้มดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index: BDI)ที่สูงขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเดินเรือมีความโดดเด่นขึ้นมา เนื่องจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดใหญ่ทั้ง จีน อินเดีย รัสเซีย รวมถึงบราซิล ขณะที่ด้านซัพพลายยังมีแนวโน้มตรึงตัวเช่นเดิมจากภาวะแออัดของท่าเรือในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ออสเตเลีย หรือ บราซิลที่ยังไม่คลี่คลายลงเท่าที่ควร

สุขบีร์ คารนิยอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า เรื่องซัพพลายใหม่ก็พอจะรู้อยู่ว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเห็นว่าต่ำกว่าตัวเลขที่เห็นอยู่แล้ว แต่ดีมานด์ยังคงขยายตัวอยู่และมีปัญหามีความแออัดของท่าเรือหลายแห่งทำให้ BDI ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มเรือเทกองไม่ว่าจะเป็น บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)หรือ บมจ.พรีเชียว ชิพปิ้ง (PSL) จะได้รับประโยชน์แน่นอน

"ดัชนี BDI เริ่มเห็นเป็นเทรนด์ขาขึ้นตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2549 จากระดับ 2,416 จุด ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ในเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2550 จะอ่อนตัวลงบ้างก็ตาม แต่ก็ยังสูงมากและทำนิวไฮใหม่ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทะลุ 7พันจุด จนตอนนี้ทะลุ 8 พันจุดขึ้นมาแล้ว เป็นการปรับตัวกว่า 242.30%"

เมื่อพิจารณาสัดส่วนของดีมานด์และซัพพลายในปัจจุบันแล้วเชื่อว่าดัชนีค่าระวงเรือน่าจะคงทรงตัวอยู่เหนือ 6 พันจุดได้จนถึงสิ้นปี 2550 ซึ่งจะช่วยผลักดันกำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มเรือเทกองตลอดช่วง 6 เดือนหน้าได้ ถือว่ามุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเดินเรือทั้ง TTA,PSL รวมถึง บมจ.อาร์ ซี แอล(RCL) ที่เป็นธุรกิจเรือคอนเทนเนอร์ด้วย

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนิตี้ มองว่า เรื่องค่าระวางเรือที่ขึ้นมานั้น ถือว่าเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากว่าหลายฝ่ายเคยประเมินกันว่า BDI ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะลงลงจากช่วงไตรมาส 2/2550 แต่หลังจาก BDI ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและคาดว่าดัชนีดังกล่าวน่าจะยืนในระดับ 7 พันจุดได้ในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลมาจากไตรมาส 3/2550 จะเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืช ผัก และผลไม้ ในสหรัฐอเมริกาเพื่อส่งออกไปยังคู่ค้าทั่วโลก ทำให้เป็นผลดีต่อธุรกิจขนส่งด้วยเรือเทกองแห้งซึ่งจะทำให้ค่าระวางปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยประเมินว่า TTA จะได้รับอานิสงค์จากเรื่องดังกล่าวมากกว่า PSL เพราะมีเรือที่สามารถปรับค่าระวางได้ตาม BDI มากกว่า 30% ขณะที่ PSL ใช้ระบบทำสัญญาระยะยาวล่วงหน้าไว้กับลูกค้าในการกำหนดค่าระวางเรือกว่า 80%

ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.บัวหลวง อ้างอิงข้อมูลจาก มอร์แกนสแตนเลย์ ระบุว่า งบจ่ายลงทุนเกี่ยวกับไฟฟ้าและทางรถไฟของจีนรวมอยู่ที่ 5.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2549-2553 ซึ่งการใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานนี้จะทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น โดยการขนส่งสินค้าเทกองแห้ง(Dry bulk)นับเป็นประโยชน์เบื้องต้นจากการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ค่าระวางปรับสูงขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ประเมินว่าดัชนี BDI จะยังอยู่ในอัตราสูงเนื่องจากมีข้อมูลของ Fearnleys ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าจัดหาเรือระบุว่า จำนวนเรือที่สั่งต่อและน่าจะใช้ได้ในปี 2552-2553 คิดเป็น 33.26% ของจำนวนเรือเทกองแห้งทั้งหมดในปัจจุบันจึงทำให้เป็นอีกปัจจัยที่ค่าระวางเรือจะสูงต่อไปอีก

สำหรับ TTA ยังคาดว่าน่าจะได้ประโยชน์จากการให้บริการสำรวจปิโตรเลียมแก่บริษัทน้ำมันต่างๆ ตามการขยายตัวของการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากราคาเชื้อเพลิงที่ยังมีราคาสูง สนับสนุนให้ความต้องการบริการขุดเจาะสูงขึ้นตาม โดยหลังจากที่ TTA ซ่อมแซมเรือขุดเจาะทั้ง 2 เสร็จแล้ว จะทำให้มีรายได้จากเรือขุดเจาะอีกมาก


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.