เพียง 18 วันของการเปิดโครงการโนเบิลพาร์คปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ครบ
100% อีกทั้งยังมีรายชื่อลูกค้าที่รอจับจองโครงการในเฟสสองถึง 157 รายความสำเร็จครั้งนี้เองที่ทำชื่อของบริษัทโนเบิล
โฮลดิ้งเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของโครงการ
กิตติ ธนากิจอำนวยคือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโครงการพัฒนาที่ดินของกลุ่มโนเบิลในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทโนเบิลโฮลดิ้ง
ซึ่งถูกมองว่าเป็นน้องใหม่ในวงการเรียลเอสเตท
การที่กิตติกลายมาเป็นลูกเขยของอำนวย วีรวรรณ ประธานกรรมการบริหารของแบงก์กรุงเทพเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนมองว่าความสำเร็จของบริษัทฯ
นี้มาจากการมีชื่อของอำนวย วีรวรรณ และชาตรี โสภณพนิชกรรมการผู้จัดการใหญ่ของแบงก์กรุงเทพร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย
ซึ่งนั่นเป็นเพียงเหตุผลประการหนึ่งที่กิตติเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะมันหมายถึงความเชื่อถือของลูกค้าที่มีต่อผู้บริหารของแบงก์กรุงเทพทั้ง
2 คน
ในขณะที่ความสามารถของกิตติในการทำธุรกิจด้านนี้มีมากว่า 15 ปีจากอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
(ตั้งแต่ปี 2519-2535) แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักเขา
กิตติเรียนจบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงที่เขายังเป็นนิสิตปี
3 อยู่นั้นเป็นช่วงเดียวกับที่เหตุการณ์ทางการเมืองของไทยเปลี่ยนแปลงมาก
จนทำให้นิสิตนักศึกษาหลายต่อหลายคนต้องเปลี่ยนการทำกิจกรรมทางการเมืองไปด้วย
ช่วงเวลานั้นกิตติจึงหันมาพัฒนาที่ดินผืนแรกในซอยนวลน้อย เอกมัยซึ่งเช่ามาเพื่อสร้างเป็นสปอตคลับโดยใช้ชื่อว่า
"เอกมัยเทนนิส" ใช้เงินลงทุนครั้งนั้น 5 แสนบาทโดยเปิดให้บุคคลทั่วไปสมัครเข้ามาเป็นสมาชิก
จนกระทั่งกิตติเรียนจบมหาวิทยาลัย จุไรรัตน์ ศรีไกรวินเจ้าของสวีเดนมอเตอร์
ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่สาวก็ได้ชักชวนให้เข้าถือหุ้นในบริษัทที่ตั้งขึ้นมา
เพื่อพัฒนาที่ดินโดยเริ่มโครงการแรกเป็นทาวน์เฮาส์ราคาแพงที่ถนนวิทยุในชื่อโครงการ
THE EMBASSY PLACE ในนามบริษัทสวีดิช คอนสตัคชั่น โดยใช้เวลาในการขายโครงการนี้
1 ปีเต็ม
หลังจากเสร็จโครงการที่ถนนวิทยุประมาณปี 2523-2524 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ราคาที่ดินตก
การซื้อขายไม่ค่อยดี กิตติจึงคิดที่จะหาประสบการณ์ด้านอื่นนอกเหนือจากการพัฒนาที่ดินเพียงอย่างเดียว
พอดีกับที่เพื่อนมาชวนให้ไปทำธุรกิจเทรดดิ้งโดยการเป็นตัวแทนในการซื้อของให้รัฐบาลพม่าเช่น
พวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือทำประมง เครื่องจักรเครื่องกลโดยจัดตั้งบริษัทคอนติเนลตันขึ้น
กิตติทำธุรกิจเทรดดิ้งร่วมกับเพื่อนควบคู่ไปกับงานพัฒนาที่ดินซึ่งเขาทำอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วจนกระทั่งถึงปี
2526 ซึ่งเป็นช่วงที่พม่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเส้นสายพม่าที่เคยรู้จักก็พลอยหายไปด้วย
จึงมาถึงจุดที่ทุกคนที่เป็นหุ้นส่วนไม่อยากทำธุรกิจด้านนี้ต่อไป เป็นจังหวะเดียวกับที่การพลังงานแห่งชาติเปิดให้มีการประมูลเหมืองลิกไนต์จึงเข้าร่วมประมูลและในที่สุดก็ชนะการประมูลครั้งนี้
หลังจากประมูลได้ไม่นานทางบริษัทเหมืองบ้านปูก็ได้ขอซื้อกิจการนี้ต่อพร้อมทั้งขอให้เข้าไปช่วยบริหารกิจการในเหมืองบ้านปูซึ่งขณะนั้น
(เพิ่งเริ่มกิจการได้ปีกว่า) มีผลขาดทุนอยู่เกือบ 200 ล้านบาทเนื่องจากสินค้าที่ผลิตออกมาขายไม่ได้
กิตติเข้าไปถือหุ้นส่วนหนึ่งในเหมืองบ้านปู พร้อมทั้งเข้าช่วยบริหารในส่วนของการตลาด
โดยมีเงื่อนไขที่เหมืองบ้านบ้านปูยอมให้กิตติทำธุรกิจพัฒนาที่ดินต่อเนื่องได้ด้วย
จนในที่สุดทีมงานก็สามารถพลิกสถานการณ์ของเหมืองบ้านปูจากจุดที่ไม่ค่อยมั่นคงจนสามารถยืนได้อย่างมั่นคง
และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จในปี 2530 กิตติจึงได้ขอแยกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเองอย่างแท้จริง
ในช่วงที่อยู่เหมืองบ้านปูนั้นกิตติได้ลงทุนทำธุรกิจพัฒนาที่ดินของตนต่อเนื่องไปด้วยตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับทางเหมืองบ้านปูไว้
โดยครั้งนี้ได้รวบรวมทุนจากผู้ถือหุ้นบางคนของเหมืองบ้านปูทำโครงการเดอะการ์เดนเพลสที่ซอยทองหล่อ
และรอยัลปาร์คที่ศรีนครินทร์
เมื่อแยกตัวจากเหมืองบ้านปูแล้วกิตติได้ตั้งบริษัทของตนเองขึ้นในชื่อโนเบิล
โฮลดิ้งเมื่อปี 2531 โดยผู้ถือหุ้นประกอบด้วยบริษัทโอเรียนท์ของวงชัย บุษราพันธ์ซึ่งเป็นพี่เขยของกิตติ
บริษัทกิจพรค้าข้าวของวิชาญ บุษราวงศ์ซึ่งเป็นน้องชายของวงชัย บุษราพันธ์
ชาตรี โสภณพนิช อำนวย วีรวรรณ ชาลี โสภณพนิชและบริษัทอื่นอีกเล็กน้อย
โครงการแรกที่ทำในนามของโนเบิล โฮลดิ้งคือโครงการโนเบิ้ลเฮ้าส์ 1 ที่ซอยทองหล่อ
โครงการต่อมาคือโครงการโนเบิลเพลสที่จังหวัดชลบุรี และล่าสุดคือโนเบิลพาร์คที่บางนา-ตราด
จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจเรียลเอสเตทที่ผ่านมา ทำให้กิตติได้แนวความคิดในการพัฒนาที่ดินอีกรูปแบบหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความสำเร็จในเวลาต่อมา
ตัวอย่างแรกคือการสร้างสนามกอล์ฟในโครงการโนเบิลเพลสโดยไม่ต้องกู้เงินจากแบงก์ทั้งนี้
โดยอาศัยคอนเซ็ปต์ของวิธีการในการทำธุรกิจในอดีต ก่อนที่จะเกิดแบงก์เข้ามาใช้นั่นคือการระดมทุนส่วนตัวจากหุ้นส่วนสมมุติว่าต้องการเงินจำนวน
1,000 ล้านบาทก็ชวนคนเข้ามาร่วมทุน 100 คนแต่ละคนควักคนละ 10 ล้านบาทโดยมีผลตอบแทนให้ซึ่งในโครงการโนเบิลเพลสนั้นผู้ถือหุ้นจะได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นสนามกอล์ฟ
ที่ดินส่วนกลางที่เป็นส่วนป่าเนรมิตซึ่งอยู่ในโครงการ คลับเฮาส์ โปโลคลับที่ดินเปล่าในโครงการอีกคนละ
2 ไร่ และรายได้จากผลประกอบการในส่วนของสนามกอล์ฟคลับเฮาส์และโปโลคลับ ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้มีหุ้นส่วนอยู่ประมาณ
500 คน ในขณะที่ยอดขายทั้งหมดของโครงการนี้อยู่ในราว 3,000 ล้านบาท
อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็นโครงการล่าสุดคือ โนเบิลพาร์คเป็นการนำเอาระบบคอนโดเฮาส์
หรือคอนโดแนวราบมาใช้คือแบบบ้านเหมือนทาวน์เฮ้าส์ทั่วไปที่ปลูกบนที่ดินแต่การถือครองกรรมสิทธิ์ในส่วนของอาคารและที่ดิน
ใช้คอนเซ็ปต์ของคอนโดมิเนียมคือในนามนิติบุคคล ซึ่งเป็นการพัฒนารูปแบบที่อยู่อาศัยใหม่ที่กิตติได้ริเริ่มขึ้นและได้รับความสำเร็จอยู่ในปัจจุบัน
ความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้นนั้นกิตติอธิบายว่าส่วนหนึ่งมาจากทีมงานที่ทำงานอย่างจริงจัง
ในขณะที่บริษัทเองมีแนวทางการปฏิบัติในเรื่องการพัฒนาอย่างแน่ชัดมีหลักปรัชญาชัดเจนคือ
งานที่เราจะทำต้องมีคุณภาพไม่เน้นกำไรเป็นอันดับแรก
"ความคิดในการทำโครงการต้องทำการบ้าน ทำงานจริงจังให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องเป็นแนวทางที่แปลก
เราไม่บอกตัวเองว่าเราเป็นคนทำหมู่บ้าน แต่เราต้องดูว่าทำหมู่บ้านอย่างไรให้ดีมีคุณภาพ
มีแนวความคิดที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่อย่างแท้จริง"