“ฮาริสัน”พลิกกลยุทธ์ดันยอด ดึงคอนโดฯนอกขายเศรษฐีไทย


ผู้จัดการรายสัปดาห์(19 กันยายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ฮาริสันเปิดตลาดใหม่ ดึงคอนโดมิเนียมหรูที่แคนาดาทำตลาดเมืองไทย จับกลุ่มนักลงทุนไทยกระเป๋าหนัก เชื่อมั่นตลาดคอนโดยังสดใส ทำเลเป็นจุดขายสำคัญ ชี้ต่างชาติยังสนใจลงทุน แม้การเมืองยังไม่ชัด

14 ปีที่ฮาริสันโลดแล่นอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในบทบาทที่ปรึกษาด้านการลงทุน และบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แม้ขนาดของบริษัทจะยังไม่ใหญ่โตเทียบเท่าบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติอื่นๆ แต่ด้วยประสบการณ์ การสร้างเครือข่ายธุรกิจ และการจับตลาดอย่างถูกจุด ด้วยการหันไปทำตลาดคอนโดมิเนียมที่กำลังมาแรงหลายโครงการ ทำให้ระยะหลังฮาริสันเริ่มโดดเด่นน่าจับตาในวงการมากขึ้น ทั้งในสายตาของดีเวลลอปเปอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุน กลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่กำลังมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้โครงการที่ฮาริสันรับเป็นที่ปรึกษาและบริหารการขายไม่ใช่โครงการของดีเวลลอปเปอร์ชื่อดัง แต่ด้วยดีมานด์ที่ปรับตัวมาสู่สินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ทำเล และความเชี่ยวชาญในการทำตลาด ทำให้คอนโดมิเนียมหลายโครงการที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ ปิดโครงการได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นการสร้างโปรไฟล์ที่ดีให้กับฮาริสัน ทำให้นักลงทุน และดีเวลลอปเปอร์หน้าใหม่มั่นใจในศักยภาพของฮาริสันเพิ่มขึ้น

“กลุ่มนักลงทุน” เป็นกลุ่มที่ฮาริสันทำการตลาดอยู่แล้วด้วยการขายที่ดินเปล่าให้ดีเวลลอปเปอร์เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการ และรับบริหารอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยซื้อไว้ปล่อยเช่า แต่เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ฮาริสันไม่รอให้ลูกค้าวิ่งเข้าหาบริษัทเหมือนแต่ก่อน แต่ใช้การทำตลาดเชิงรุก ด้วยการจัด Solo Exhibition นำโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยไปขายในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หลังจากที่ระยะหลังลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยไว้เป็นบ้านพักหลังที่ 2 และลงทุนปล่อยเช่ามากขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูง ในขณะที่ราคาขายยังต่ำกว่าในต่างประเทศหลายเท่า ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ มียอดขายจากส่วนนี้แล้ว 800 ล้านบาท จากการจัดงานประมาณ 20 ครั้ง

นอกจากนี้ฮาริสันยังเห็นโอกาสที่จะจับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ คือ กลุ่มเศรษฐีไทยที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่จุดต่างกลับอยู่ที่โครงการที่ลงทุนเป็นโครงการที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งฮาริสันนับเป็นคนแรกที่เปิดวิธีการทำตลาดรูปแบบนี้

กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รูปแบบดังกล่าวถือเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนในไทยที่ต้องการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ โดยโครงการแรก คือ The Residence at The Ritz-Carlton เมืองโตรอนโต แคนาดา คอนโดมิเนียม โรงแรมระดับ 5 ดาว สูง 52 ชั้น มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ใช้สอย 118-1,000 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 40 ล้านบาทต่อยูนิต หรือ 300,000 บาทต่อ ตร.ม. ฮาริสันรับผิดชอบการทำตลาดคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 10% หรือเพียง 2-3 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท เฉพาะในโซนเอเชีย คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไทยเท่านั้น เจาะกลุ่มนักลงทุนที่มีรายได้สูง

กิติศักดิ์ กล่าวว่า จุดเด่นของโครงการ คือ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ผสมผสานกับโรงแรม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้โครงการมีจุดขายที่เพียบพร้อม สามารถตั้งราคาขายได้สูง ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแคนาดากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตประมาณ 35% จากปีที่แล้วสามารถให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจนักลงทุนได้ จึงน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะนำโครงการที่อังกฤษ และออสเตรเลียมาทำการตลาดในไทยด้วย สามารถเจาะกลุ่มนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศ และยังเก็บไว้ลงทุนปล่อยเช่าได้

ปัจจุบันฮาริสันมียอดขายแล้ว 5,600 ล้านบาทจากเป้าที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดถึง 90% เนื่องจากเป็นสินค้าส่วนใหญ่ในมือที่ฮาริสันบริหารอยู่ และเติบโตจากปีที่แล้วมากถึง 15-20% หรือมียอดขายคอนโดมิเนียมเฉลี่ย 400-500 ล้านบาทต่อเดือน โดย กิติศักดิ์ ยืนยันว่า ตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางจะยังไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญของโครงการที่จะประสบความสำเร็จอยู่ที่ทำเลเป็นหลัก และในส่วนของกฎหมายนอมินีที่ยังไม่ชัดเจนจะยิ่งผลักให้ตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตขึ้น เพราะเป็นสินทรัพย์เดียวที่ชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ได้ 100%

สำหรับกระแสการเมืองไทยในขณะนี้ที่เริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นหลังจากมีการประกาศวันเลือกตั้ง กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ความไม่แน่นอนที่ผ่านมาก็ทำให้นักลงทุนต้องระวังมากขึ้นเช่นกัน แต่ขณะนี้ก็ยังมีนักลงทุนต่างชาติติดต่อให้บริษัทฯ เป็นที่ปรึกษาในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยหลายราย ในทางตรงกันข้ามการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนก็มีผลทำให้ต้องชะลอแผนการจัดงานเอ๊กซ์โปที่สิงคโปร์ออกไปก่อน รอให้การเมืองไทยมีความชัดเจน และนักลงทุนมีความเชื่อใจ ซึ่งฮาริสันจะนำที่ดินเปล่า คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ในกรุงเทพฯ พัทยา หัวหิน และภูเก็ต มูลค่านับหมื่นล้านบาทไปเสนอขาย ทั้งนี้ในสิงคโปร์ยังมีดีเวลลอปเปอร์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยที่มีความพร้อมในการเข้ามาลงทุนอีกหลายราย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.