|
"รักลูกกรุ๊ป"โตต่อแตกไลน์ลุยธุรกิจรีเสิร์ชฯรับงานรัฐ
ผู้จัดการรายวัน(19 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นางสุภาวดี หาญเมธี ประธานกรรมการบริหาร รักลูกกรุ๊ป ดำเนินธุรกิจด้านสื่อที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวเป็นหลัก เปิดเผยว่า จากการทำงานตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ในเรื่องของการให้ความสำคัญเกี่ยวกับเด็กและครับครัว ผ่านสื่อสร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบ จึงถือได้ว่าบริษัทฯมีความรู้และความชำนาญที่หลากหลาย ทั้งในแง่การติดต่อสื่อสาร และการหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งมองว่าหลักการทำงานเหล่านี้ สามารถนำไปปรับเปลี่ยนเพื่อใช้กับสังคมในวงกว้างได้ จึงทำให้บริษัทฯได้มีการทดลองขยายไลน์สู่ธุรกิจในกลุ่มใหม่ไปสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้างเพิ่มขึ้น
โดยบริษัทฯ เลือกความชำนาญในเรื่องของ การรีเสิร์ชของการหาข้อมูลต่างๆ การเทรนนิ่งหรือการอบรมให้ความรู้ต่างๆ และแอสเซสเม้นท์ หรือการประเมินผล ซึ่งเป็นหน่วยงานของแผนกหนึ่งในบริษัท รักลูก แฟมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ได้รับงานที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและครอบครัว สู่สังคมมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองดำเนินงานมาตั้งแต่ต้นปี ในแง่ของรายได้ถือได้ว่าเป็นรายได้ที่น่าพอใจอย่างมาก จากโครงการใหญ่ๆ 3-5 งาน อาทิ เช่น โครงการครอบครัวเข้มแข็งของสสส หรือแผนพัฒนาชุมชน ของ กทม. ที่ดำเนินงานให้ลูกค้าทั้งเอกชนและภาครัฐ ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 25 ล้านบาท
"บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเปิดตัวบริษัทใหม่ เพื่อมารองรับธุรกิจดังกล่าว ในเดือนธันวาคม ที่จะถึงนี้อย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้กำลังเตรียมยื่นเรื่องเสนอชื่อจดทะเบียนบริษัทใหม่อยู่ ซึ่งมองว่าบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าวพอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่หากมุ่งเน้นด้านเทรนนิ่ง ก็จะมีแต่เทรนนิ่งอย่างเดียว ดังนั้นการที่บริษัทฯรองรับครอบคลุมใน 3 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น รีเสิร์ช เทรนนิ่ง และประเมินผลจะเป็นจุดแข็งที่จะทำให้ลูกค้าให้ความสนใจได้เป็นอย่างดี"
ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อว่า บริษัทเอกชนที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนา หรือบริษัทเปิดใหม่ รวมไปถึงภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการทำโครงการต่างๆ จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมองว่าโอกาสในการทำธุรกิจดังกล่าว จะเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ ที่บริษัทฯจะสามารถต่อยอดธุรกิจด้านสื่อ เข้ามาใช้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
นางสุภาวดี กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ธุรกิจเกี่ยวกับสื่อเป็นหลัก ยอมรับว่าปีนี้ธุรกิจด้านสื่อได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจพอสมควร โดยในส่วนของบริษัทฯเองนั้น เฉลี่ยรายได้รวมปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน 10% ซึ่งมาจากบริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการ และการนำเข้านิทรรศการต่างๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Dinosaur, Mega bug และ The Robot Zoo ทำให้ปีนี้มีอัตราการเติบโตขึ้นกว่า 100% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 30% รองจากกลุ่มธุรกิจหลักคือสื่อและครอบครัวที่เป็นรายได้หลัก 55% โดยสัดส่วนรายได้ที่เหลือมาจากบริษัทลูก ที่บริหารพิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร คือ บริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด
ล่าสุดบริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด และบริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด ได้ร่วมกับ FCI ผู้ดำเนินธุรกิจลิขสิทธ์ดิสนีย์ ดำเนินโครงการ ดิสนีย์ เลิร์นนิ่ง ทาวน์ ภายใต้งบการลงทุนกว่า 40 ล้านบาท โดยการนำเอาลิขสิทธ์ของดิสนีย์ 6 เรื่อง คือ ซิลเดอเรล่า, ลิตเติ้ล เมอร์เมด, อลาดิน กับตะเกียงวิเศษ, เจ้าหญิงนิทรา, สโนว์ไวท์ กับคนแคระทั้ง 7 และโฉมงามกับเจ้าชายอสูร มาสร้างสรรค์จัดเป็นชุดนิทรรศการ แบบอินเตอร์แอกทีฟ ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2550- 31 ธันวาคม 2551 ปีหน้า ที่ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร
โดยบริษัทฯได้วางแผนวางหาผู้เข้าร่วมเป็นเมนสปอนเซอร์หลักไว้ที่ 30% ของงบการลงทุนทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้มีอยู่ 2 ราย คือ เมืองไทยประกันชีวิต และนม เอนฟาคิด โดยต้องการอีกประมาณ 3ราย ทั้งนี้เชื่อว่าจากระยะเวลาในการจัดงานครั้งนี้ จะสามารถจำหน่ายบัตรเข้าชมได้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนใบ เฉลี่ยเดือนละ 5 หมื่นใบ ในราคาบัตรที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 170-190 บาท จากเดิมราคาบัตรปกติที่ 50-70 บาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|