|
"วิไลลักษณ์"รุกกัมพูชาผุดโรงแรมรับต่างชาติ
ผู้จัดการรายวัน(13 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
“ ตระกูลวิไลลักษณ์” บุกประเทศกัมพูชาหลังเป็นเจ้าตลาดธุรกิจโทรคมนาคม ประเดิมด้วยพิพิธภัณฑ์ อังกอร์ บนเนื้อที่กว่า 33 ไร่ พ่วงด้วยชอปปิ่งมอลล์ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เล็งเปิดโรงแรมหรูเพิ่มรับลูกค้าต่างชาติ ด้านการลงทุนในเมืองไทยเน้น ให้น้ำหนักพัฒนาอสังหาฯที่สร้างรายได้ระยะยาว ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจอสังหาฯเพิ่มเป็น 30% ของกลุ่มในปี 51
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท วิไลลักษณ์อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท วิไลลักษณ์อินเตอร์ฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ “ตระกูลวิไลลักษณ์” กระจายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ครอบคลุม 3 ธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยถือหุ้น 24% ในบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีการสื่อสารครบวงจรและมีบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท
2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้างจนถึงการบริหารจัดการอาคารอย่างเต็มรูปแบบ โดยเน้นการพัฒนาโครงการฯ ขนาดใหญ่ คุณภาพสูง ปัจจุบัน มีมูลค่าการลงทุนรวมแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท
และ3. ธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจแฟรน์ไชน์ร้านอาหารจากต่างประเทศ (ร้าน Leefun จากประเทศสิงคโปร์) ธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายไวน์จากต่างประเทศ ล่าสุดได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ไอร่า
“ ที่ผ่านมาการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ของบริษัทฯ ถือว่ามีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีครบวงจร อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานการตลาดสู่ต่างประเทศ ปัจจุบันกลุ่มสามารถฯ มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน)" นายวัฒน์ชัยกล่าว
ผุดอสังหาฯแนวใหม่ที่เขมร
สำหรับธุรกิจด้านอสังหาฯ ที่บริษัทฯ ดำเนินการจะครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการบริหารจัดการอาคารอย่างครบวงจร โดยตั้งเป้ากำไรขั้นต้นจากการลงทุนประมาณ 20% ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนพัฒนาอสังหาฯยังประเทศกัมพูชา หลังประสบความสำเร็จในธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา โดยได้รับสัมปทาน“พิพิธภัณฑ์ อังกอร์” ระยะเวลา 33 ปี เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ไร่กลางเมืองเสียมเรียฐ โดดเด่นด้วยการนำเสนอวัตถุโบราณและเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชนชาติกัมพูชาในรูปแบบ Interactive ผ่านสื่อผสมที่หลากหลาย
นอกจากตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีส่วนอาคาร Cultural Mall ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าและบริการ ทั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านอาหาร และธนาคาร รวมมูลค่าการก่อสร้างกว่า 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้การลงทุนในโครงการนี้เป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนของประเทศกัมพูชาโดยเช่าที่ดินเป็นเวลา 70 ปี จากรัฐบาลกัมพูชา พร้อมเปิดตัว อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งตรงกับช่วงไฮท์ซีซั่นพอดี นอกจากนี้ ภายในโครงการยังมีพื้นว่างอยู่ใกล้ๆ พิพิธภัณฑ์อีกประมาณ 10 ไร่ ซึ่งบริษัทฯ ยังมีแผนในการขยายงานด้วยการพัฒนาโรงแรม เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
“ การทำพิพิธภัณฑ์ ถือว่าเป็นการพัฒนาอสังหาฯ แนวใหม่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้โครงการดูโดดเด่นขึ้นมา ดึงดูดลูกค้า โดยในอนาคตอันใกล้หากพิพิธภัณฑ์ได้รับความนิยมก็จะสร้างโรงแรมหรูต่อ นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังมีที่ดินเปล่าอยู่ในกรุงพนมเปญ ติดริมแม่น้ำอีก 1 แปลง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนการลงทุน
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนในโครงการที่พักตากอากาศอย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มต้นจาก “ภูผาธารา” โครงการที่พักริมทะเล เนื้อที่ 58 ไร่ บนหาดแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง ภายในโครงการฯ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวริมหาด ประมาณ 20 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 10-40 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม จำนวน 199 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.8-10 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 35 ยูนิต และโรงแรมระดับ 5 ดาว ประมาณ 200 ห้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเชนบริหาร
ทั้งนี้ ภายในโครงการยังประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น สวนน้ำขนาดใหญ่บนพื้นที่รวมกันกว่า 8,000 ตรม. และUnderwater Aquarium ที่จำลองบรรยากาศใต้ทะเล โครงการภูผาธาราใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 2,000 ล้านบาท (รวมค่าก่อสร้างโรงแรม) ส่วนมูลค่าขายจำนวน 2,000 ล้านบาทเช่นกัน พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการกลางเดือนตุลาคมนี้
ส่วน อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค บนถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ มีความสูง 37 ชั้น อาคารจอดรถสูง 12 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มพื้นที่ สร้างรายได้ปีละกว่า100 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างคืนหนี้สถาบันการเงินคาดว่าจะหมดภายใน 3 ปี
อนึ่ง เป็นที่รับทราบกันดีว่า คนในตระกูลวิไลลักษณ์มีสายสัมพันธ์กับคนในตระกูลชินวัตร
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|