ไพโรจน์ ไชยพร กำลังว้าวุ่นอยู่กับปัญหาการแก้ไขหนี้สินประมาณ 1,800 ล้านบาทของกลุ่มไทยเสรีห้องเย็นที่ต่อเนื่องยาวนานมากว่า
4 ปีแล้ว
เจ้าหนี้สถาบันการเงินรายใหญ่ ๆ ไม่น้อยกว่า 6 แห่งนำโดยแบงก์กรุงเทพ กำลังทำงานกันอย่างหนักทั้งในวงของกฎหมายและการเจรจาต่อรองเพื่อให้หนี้สินจำนวนมากมายเหล่านี้
สามารถประนีประนอมยอมความกันได้โดยส่งผลกระทบต่อแบงก์น้อยที่สุด
แบงก์สหธนาคาร ไอเอฟซีทีและทหารไทย ดูจะได้รับความเสียหายน้อยกว่าแบงก์กรุงเทพ
กรุงศรีอยุธยา และนครหลวงไทย เนื่องจากมีหลักทรัพย์ชั้นดีของไทยเสรีอาหารสากลค้ำประกันอยู่
ปัญหาทางออกของเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนของการฟ้องร้องเพื่อเรียกชำระหนี้ประมาณ
744 ล้านบาทและฟ้องล้มละลายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์นี้เอง
บริษัทไทยเสรีห้องเย็นตกเป็นจำเลยของแบงก์ทหารไทยมูลหนี้ 520 ล้านบาท ขณะที่ไทยเสรีอาหารสากลและไทยเสรีปราณบุรีมีมูลหนี้ที่ถูกฟ้องร้อง
141 และ 83 ล้าน
ก่อนหน้าที่แบงก์ทหารไทยจะเข้าฟ้องร้อง กลุ่มไทยเสรีของไพโรจน์ก็กำลังเจอแรงกดดันจากความพ่ายแพ้ในคดีแพ่งมูลหนี้
68 ล้านจากแบงก์กรุงศรีฯ และเวลานี้ทรัพย์สินของไทยเสรีอาหารสากลถูกบังคับให้ขายทอดตลาด
ความพยายามที่จะยืดเวลาการบังคับขายทอดตลาดด้วยวิธีการการหาหลักทรัพย์มาค้ำมูลค่าเกือบ
600 ล้านบาทของไพโรจน์ เป็นหนทางที่เขากำลังทำอยู่เวลานี้ ภายใต้ข้อแนะนำอย่างใกล้ชิดของนันทวัตร
ไกรเสม นักกฎหมายหนุ่มของสำนักงานกฎหมาย สนอง ตู้จินดา
ปัญหาหนี้สินของไทยเสรีฯ ที่เกี่ยวโยงในประเด็นข้อกฎหมายมีความสลับซับซ้อนมาก
การฟ้องร้องของแบงก์ทหารไทยเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์เป็นจุดที่กดดันให้ไพโรจน์ต้องสู้ในประเด็นทางกฎหมายอย่างจริงจัง
เขาเข้าติดต่อสำนักงานกฎหมาย สนอง ตู้จินดา เพื่อให้จัดหาทนายมือเยี่ยมที่สุดทนายของไพโรจน์มี
3 คน นันทวัตร ไกรเสม รับผิดชอบคดีไทยเสรีห้องเย็น สุทิน บรมเจต รับผิดชอบคดีไทยเสรีอาหารสากล
และกำไล มานะกิจ คดีไทยเสรีปราณบุรี
"ทนายของแบงก์ทหารไทยคือมนูญ มนูญชัยจากสำนักงานกฎหมายกิจธนา"
นันทวัตรพูดถึงทนายคู่ต่อสู้ของเขา
การต่อสู้ทางกฎหมายของคดีนี้ อยู่ที่ทนายของแบงก์ทหารไทยต้อนำสืบข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ดำเนินการกู้เงินจริงจากธนาคารเนชั่นแนลออสเตรเลียมูลค่าประมาณ
20 ล้านสวิสฟรังสโดยแบงก์ทหารไทยเข้าค้ำประกันให้ เมื่อปี 2528 จริงและต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจำเลยมีหลักทรัพย์ไม่พอชำระหนี้
นันทวัตร เคยผ่านงานทนายให้จำเลยบริษัทคิ้กคาปู้ประเทศไทยในคดีการฟ้องร้องละเมิดเครื่องหมายการค้าของบริษัทมี้ด
จอห์สันมูลค่า 198 ล้านบาท ซึ่งเวลานี้อยู่ในขั้นอุทธรณ์โดยเขาเป็นฝ่ายชนะในศาลชั้นต้น
นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์ผ่านงานว่าความในฐานะทนายโจทย์มูลค่า 100
กว่าล้าน (รวม 2 คดี) ในคดีของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจฟ้องแพ่งลูกค้ามาแล้ว
แต่คดีไทยเสรีเป็นคดีแรกที่มูลค่าฟ้องร้องมากที่สุดที่เขาเคยทำคดีมา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า
5 ปีถึงจะรู้ผลถึงที่สุด