|

ตลท.ฝัน100บจ.เข้าปี51หวังตปท.กระตุ้นตลาด
ผู้จัดการรายวัน(12 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลท.วาดฝันบริษัทเป้าหมายดึงระดมทุนปีหน้า 100 บริษัทหลังจากปีนี้พลาดเป้า 64 บริษัทแน่ เชื่อไทยแลนด์โฟกัสจะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น หลังนายกฯพร้อมชี้แจงนโยบายรัฐบาล ประกอบกับ 2 แกนนำพรรคการเมืองใหญ่ร่วมโชว์วิสัยทัศน์ บล.กิมเอ็ง ลดเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ 900 จุดจาก 1,000 จุด ชี้หุ้นยังไม่ขึ้นเพราะปัญหาซับไพรม์ยังไม่จบ แนะนักลงทุนปรับพอร์ตซื้อหุ้นพื้นฐาน ถือเงินสด 30-50% ขณะที่“หมอภาษี”ชี้การบริหารการเสียภาษีที่ดีจะช่วยให้ผลการดำเนินบจ.ดีขึ้น
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัญหาในเรื่องการเพิ่มสินค้าเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้จำนวนบริษัทคงเข้ามาจดทะเบียนน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ที่ 64 บริษัท แต่เชื่อว่าในปีหน้าจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นโดยตลท.จะเน้นในการสร้างแรงจูงใจในการเป็นบริษัทจดทะเบียนซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่เป็นเป้าหมายประมาณ 100 บริษัท
ทั้งนี้ การระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจรวมถึงการขยายการจ้างงาน จะช่วยสร้างบรรยากาศในการลงทุนในตลาดหุ้นและจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในวันนี้งานไทยแลนด์ โฟกัส ครั้งที่ 3 ที่จะจัดขึ้นเพื่อนำนักลงทุนเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลรวมถึงสร้างความมั่นใจทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะปาฐกถาถึงนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันและการส่งต่อให้กับรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันจะมีการนำเสนอวิสัยทัศน์ของ 2 พรรคใหญ่คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านล้านบาท โดยล่าสุดเม็ดเงินจากต่างประเทศยังมียอดซื้อสุทธิถึง 90,000 หมื่นล้านบาทในปีนี้
"การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่ที่ภาวะในแต่ละช่วง ในช่วงที่ผ่านมาที่ซบเซาค่อนข้างมากเป็นเพราะนักลงทุนรายย่อยที่กังวลกระแสข่าวในประเทศมากกว่านักลงทุนต่างชาติ"นายวิเชฐกล่าว
อนึ่ง นางภัทรียา เบญจพลชัย ผู้จัดการตลาดตลท. กล่าวว่า Thailand Focus 2007 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Platforms for Growth จะนำเสนอข้อมูลทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจการลงทุนมหภาค และยังได้จัดให้บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุนแบบรายต่อรายประมาณ 63 บริษัท พร้อมเชิญตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ให้ส่ง บจ.ของแต่ละประเทศเข้าร่วมให้ข้อมูล
ทั้งนี้ นักลงทุนที่มาร่วมงานจะประกอบไปด้วยผู้บริหารระดับสูงของกองทุน ผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ และนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อเมริกา แคนาดา เอเชีย และกลุ่มยุโรป เป็นต้น ซึ่งมีเงินลงทุนในประเทศไทย 3 แสนล้านบาท จากที่บริหารสินทรัพย์รวม 105 ล้านล้านบาท รวมทั้งมีนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ 90 คน ที่มีสินทรัพย์ที่ลงทุนในประเทศไทยกว่า 4 แสนล้านบาทร่วมรับฟังข้อมูลด้วย
"ประเด็นหลักที่นักลงทุนต่างชาติสนใจมาก คือนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงหน้าตาของรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญใครจะเข้ามาดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ หลังจากปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลง"นางภัทรียากล่าว
ปรับพอร์ตเชียร์ซื้อหุ้นเพิ่ม
ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (11 ก.ย.) เกือบตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก นักลงทุนยังรอความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยหลายฝ่ายหวังว่างานไทยแลนด์โฟกัสที่จะเริ่มขึ้นในวันนี้จะช่วยสร้างบรรยากาศในการลงทุนที่ดี โดยดัชนีวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปปิดที่ 801.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.69 จุด หรือ 0.59% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 804.33 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 796.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,702.59 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 89.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 223.52 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 313.11 ล้านบาท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยในงานสัมนา “Q4 ลงทุนหุ้นอย่างชาญฉลาดและปราศจากภาษี” ว่าภาพรวมของภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน ซึ่งคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 900 จุด จากที่ 2เดือนก่อนหน้านี้ได้ตั้งเป้าดัชนีไว้ที่ระดับ 1,000 จุด เนื่องจากเป็นการประเมินดัชนีก่อนที่จะเกิดปัญหาเรื่องซับไพรม์ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในระยะสั้นมีโอกาที่น้อยมากที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองภายในประเทศจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ขณะเดียวกันเชื่อว่าปัญหาซับไพรม์มีแนวโน้มที่จะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายแห่งได้มีการออกมาให้ความเห็นว่าปัญหาซับไพรม์จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 เดือนครึ่ง ดังนั้นในส่วนของความกังวลเกี่ยวกับกับปัจจัยดังกล่าวจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากจะสังเกตได้ว่าปัญหาซับไพรม์ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไปมากพอสมควรแล้ว
สำหรับในระยะเวลาช่วงที่เหลือต่อจากนี้แนะนำให้นักลงทุนระยะกลางและระยะยาวทยอยสะสมหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยแนะนำถือเงินสด 30-50% ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นควรเลือกจังหวะการซื้อขายตามปัจจัยต่างๆในประเทศและนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องระมัดระวังในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)และฐานะทางการเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการขาดดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้าต่างๆโดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังคงมีปัญหาอยู่ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมและความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนได้
“ตลาดหุ้นไทยมีค่าพี/อีที่ต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 13 เท่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีค่าพี/อีที่สูง ดังนั้นการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะมีความปลอดภัยมากกว่าจากที่ตลาดหุ้นอื่นๆ เช่น จีน เวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงถือว่ามี ความเสี่ยงที่จะเข้าไปลงทุน”นายมนตรีกล่าว
ภาษีสิทธิประโยชน์ของบจ.
นายอมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์ (หมอภาษี) บรรณาธิการอำนวยการ นิตยสาร Tax & Business Review กล่าวว่า การประกอบธุรกิจของบริษัทนั้นจะต้องมีการวางแผนการดำเนินงานโดยการปรับโครงสร้างทางการเงินที่ดีไม่ว่าจะเป็นกำไรจากการดำเนินงาน และการบริหารการเสียภาษี ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนที่เข้ามาระดมทุนในสตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันก็ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่แล้ว เช่นบริษัทที่มีการกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการลงทุนที่ไม่ใช่เพียงแต่ภายในประเทศอยู่แล้วไปลงทุนที่อื่นก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยไม่ต้องเสียภาษี 2 ต่อโดยเฉพาะบริษัทที่มีการส่งออก
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักวิชาการทางด้านตลาดหุ้น กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีความสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งหากนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น ต้องพิจารณาการประกอบธุรกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก
ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รวมกันในปี49 มีกำไรมากกว่า 400,000 ล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้มีกำไรประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากพอสมควร ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อบริษัทจดทะเบียนมีกำไรมากขึ้นนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ในระยะยาวดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|