|

สถิติชัดหุ้นขึ้นก่อนวูบหลังได้รัฐบาลใหม่
ผู้จัดการรายวัน(7 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดทุนวอนเลือกตั้งตามกำหนดเดิม 23 ธ.ค. นี้ เชื่อกฎหมายลูก 3 ฉบับออกทัน ชี้นักลงทุนรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อนโยบายเพื่อกระตุ้นการลงทุน "เศรษฐพุฒิ" ระบุสถิติหุ้นไทย 8 ครั้ง 3 ก่อนการเลือกตั้งขึ้น 9.1% ก่อนทรุดต่อเนื่องโดยหลังเลือกตั้ง 3 เดือนดัชนีวูบ 8.7% แต่รอบนี้ตัวแปรเปลี่ยนหลังปัญหา "ซับไพรม์" โผล่ ยอมรับห่วงเศรษฐกิจสหรัฐชะลอฉุดเศรษฐกิจโลก ด้าน"อาจดนัย" เผยตัวเลขผลกระทบกลางเดือนชี้ชะตาทิศทางตลาดหุ้นโลก
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง กระแสข่าวที่ระบุว่าการเลือกตั้งอาจจะมีการเลื่อนจากที่กำหนดเดิมในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ เนื่องจากอาจติดปัญหากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับอาจจะเสร็จไม่ทัน ว่า ภาคตลาดทุนต้องการให้ปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน โดยเฉพาะการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเข้ามาลงทุน
"ผมอยากให้มีการเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดเดิม ซึ่งจะส่งดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยนั้นมีความแข็งแกร่ง แต่อาจจะมีบางด้านที่จะต้องมีการดูแล ส่วนที่จะมีการเลื่อนตั้งนั้นไม่สามารถออกมาเห็นได้ แต่แน่นอนทางด้านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้อยากให้ภาพทางการเมืองมีความชัดเจนโดยเฉพาะการเลือกตั้ง เพื่อที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาลงทุน" นายปกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการร่วมกันที่จะมีการพัฒนาตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งทำให้มีความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งตลท.มีแผนที่ชัดเจนในการสนับสนุนให้มีสินค้าใหม่ๆมากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนแก่นักลงทุน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า นักธุรกิจและนักลงทุนอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดเดิมคือ วันที่ 23 ธ.ค.นี้ โดยเชื่อว่าคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับจะสามารถพิจารณากฎหมายได้ทันเวลา ซึ่งการเลือกตั้งตามกำหนดเดิมมีความสำคัญมาก เพราะจะมีรัฐบาลใหม่ ทำให้เกิดความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งตลาดทุนอยากให้รัฐบาลใหม่สานต่อโครงการลงทุน (เมกะโปรเจกต์) โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน เพื่อลดต้นทุนด้านขนส่งและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
3เดือนก่อนเลือกตั้งหุ้นพุ่ง
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึง การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนจากสถิติที่ใน 8 ครั้งก่อนหน้านี้ พบว่าดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.1% ขณะที่ 2 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวลดลง 1.1% และ 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8%
ขณะที่ช่วงหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน พบว่า ดัชนีจะเคลื่อนไหวในลักษณะปรับฐานทำให้ไม่ปรับตัวขึ้นลง แต่จะปรับตัวลดลงถึง 4.1% และ 8.7% ในเดือนที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
ทั้งนี้ สถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 8 ครั้งที่ผ่านมากับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้อยู่บนสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก เนื่องจากในรอบนี้น้ำหนักของการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นยังผูกติดกับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในส่วนของสหรัฐอเมริการและเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใด ทำให้น้ำหนักของข่าวดีเรื่องความชัดเจนในการเลือกตั้งถูกบั่นทอนไป
"แม้ว่าสถิติก่อนการเลือกตั้งจะชี้ว่าก่อนการเลือกตั้งหุ้นมักจะขึ้นแต่ในรอบนี้มันต่างกัน เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่าคือซับไพรม์เข้ามามีน้ำหนักในการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า"นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาซับไพรม์ที่จะทยอยออกมาในช่วงต่อจากนี้ ส่วนตัวเชื่อว่ามีอีกหลายเรื่องที่อาจจะทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาได้อีก เนื่องจากการประเมินผลกระทบในเรื่องดังกล่าวขณะนี้ยังเป็นไปค่อนข้างยากคงต้องรอให้มีการแสดงข้อมูลที่แท้จริงออกมาโดยจะต้องใช้เวลานานเพียงใดที่ปัญหาดังกล่าวจะนิ่งก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรมจากปัญหาซับไพรม์ คือ การปิดตัวของกองทุนที่ลงทุนในซับไพรม์รวมถึงผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจะทำให้การไม่จ่ายหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มีมากขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวคงไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากนัก แต่สิ่งที่จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยรวมถึงเศรษฐกิจโลกคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจากปัญหาดังกล่าว โดยต้องติดตามตัวเลขการบริโภคตภาคประชาชน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานว่าจะปรับตัวลดลงมากน้อยเพียงใด
"ผลจากซับไพรม์ยังไม่จบลงง่ายๆ น่าจะยังมีกองทุนที่ต้องปิดตัวเพิ่มอีก แต่คงไม่กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทยมาก แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐโดยมีการคาดการณ์ว่าจะลดลงประมาณ 1%" นายเศรษฐพุฒิกล่าว
3ตลาดหุ้นUSสะท้อนหุ้นโลก
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เจ.พี. มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัญหาในเกี่ยวกับซับไพรม์ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ในเอเชียตลาดหุ้นเกือบทุกแห่งยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้สิ่งที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ตัวเลขผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่จะเริ่มประกาศออกมาในช่วงกลางเดือนนี้จะสะท้อนปัญหาในวงกว้างมากน้อยเพียงใด โดย 3 ตลาดหุ้นใหญ่ในสหรัฐจะเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ถึงปัจจัยดังกล่าวได้เป็นอย่างดีและอาจจะเป็นการวางกรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต่อจากนี้
"ที่ผ่านมา 3 ตลาดหุ้นในสหรัฐณ ทั้งดาวโจนส์ แนสแด็ก และ S&P 500 ไม่ได้เป็นตลาดหุ้นที่กำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ปัจจุบันการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกได้เพราะผลที่เกิดจากการปรับตัวลดลงใน 3 ตลาดหุ้นดังกล่าวอาจจะทำให้มีการเข้ามาถอนการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆตามไปด้วย"
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% โดยสิ้นปีนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 905 จุด เนื่องจากประเมินจากช่วงที่ผ่านมานั้นหากจะมีความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ ก่อนการเลือกตั้งเชื่อว่าจะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 0.25% ในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง
"เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับอดีตก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้นดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 13-15% ขณะที่วอลุ่มหวังว่าจะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากที่ปีก่อนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท"นายเอกพิทยากล่าว
ตลาดหุ้นซึมไร้ปัจจัยหนุน
ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ก.ย.) เกือบตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ก่อนปรับตัวลดลงมาปิดที่ 809.82 จุด ลดลง 4.68 จุด หรือ 0.57% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 815.16 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 809.31 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,411.13 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,137.50 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 306.49 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 831.01 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจะยังชะลอการลงทุนแม้ว่าก่อนหน้านี้เริ่มมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาบ้าง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติอยากจะเห็นรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่มุ่งเน้นนโยบายส่งเสริมการลงทุน และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่จะมีขึ้น ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|