|
"เจริญ"หวังฮุบตลาดอสังหาฯ คุมยูนิเวนเจอร์-เล็งแกรนด์ยูฯซื้อตึกร้าง
ผู้จัดการรายวัน(6 กันยายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UVเปิดเผยถึงแผนลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่เป็นผลสำเร็จ โดยมีบริษัท อเดลฟอส จำกัด ของกลุ่มนายฐาปนและนายปณต สิริวัฒนภักดี ลูกชายนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 29.18% และอยู่ระหว่างการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยจะเป็นการซื้อจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมเพิ่มอีกจำนวน 170 ล้านหุ้น กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทอเดลฟอสฯมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 51.57% ส่วนการบริหารงานยังคงให้ผู้บริหารเดิมเป็นผู้รับผิดชอบ
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 944.53 ล้านบาท ชำระแล้ว 759 ล้านบาท และจากการเพิ่มทุนดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทมีเงินทุนและกระแสเงินสดพร้อมที่จะลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จะเน้นการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งลงทุนเพื่อขายและการลงทุนระยะยาว เช่น โครงการโรงแรม ,เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และอาคารสำนักงาน
“การเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มสิริวัฒนภักดี เป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงินให้แก่บริษัทมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้บริษัทจะเลือกลงทุนเฉพาะโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้เหมาะสมกับเงินลงทุนที่มีอยู่ เมื่อบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นก็จะสามารถลงทุนในโครงการที่ใหญ่ขึ้นได้ อีกทั้งยังลงทุนระยะยาวได้อีกด้วย” นางอรดีกล่าวและว่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท แกรนด์ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทแอล.พี.เอ็น.ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มเยาววงศ์ ในสัดส่วน 33.3% ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นทั้งสองราย รวมถึงการเตรียมเอกสารด้านกฎหมาย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้ โดยบริษัทจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ประมาณ 60%
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท แกรนด์ยูนิตี้ฯ เนื่องจากการดำเนินงานที่ผ่านมา เป็นการออกแนวคิดร่วมกัน ไม่มีบริษัทได้เป็นเจ้าภาพหรือตัดสินใจลงทุนเป็นเด็ดขาด ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวในการบริหารงานบริษัทแกรนด์ยูนิตี้ฯ จำเป็นต้องเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อเป็นถือหุ้นใหญ่ดังกล่าว ส่วนผู้ถือหุ้นรายเดิมอีก 2 รายจะยังคงร่วมลงทุนอยู่เช่นเดิม แต่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเท่านั้น
ส่วนแผนการดำเนินงานและนโยบายหลักยังคงดำเนินการตามแผนเดิม คือ เน้นการพัฒนาโครงการแนวสูง ที่เป็นการซื้ออาคารที่มีปัญหาหนี้จากสถาบันการเงิน ทั้งที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) หรือทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีเอ) หรือกำลังจะเป็นหนี้เสียมาพัฒนาต่อ หรือการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาใหม่ ส่วนผู้บริหารจะยังคงเป็นชุดเดิม
นายธนพล ศิริธนชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ฯ กล่าวว่า แม้ว่าในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอ จะได้รับการแก้ไขไปบ้างแล้ว แต่อาคารสร้างค้างและหนี้ที่อาจจะเริ่มมีปัญหาในธุรกิจอสังหาฯ ยังคงมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งมีโอกาสที่จะซื้อมาพัฒนา ดัดแปลง และก่อสร้างให้แล้วเสร็จ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด ประกอบกับประสบการณ์และความชำนาญในการพัฒนาอสังหาฯประเภทนี้ ทำให้บริษัทเชื่อว่าจะสามารถลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอยู่ 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการร่วม 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี 2550 นี้
ส่วนการลงทุนในแนวราบ ยังคงใช้บริษัทปริญเวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทปริญสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ยูนิเวนเจอร์ฯ ในการพัฒนาเช่นเดิม รวมไปถึงการร่วมทุนกับพันธมิตรอื่นๆในการพัฒนา
อนึ่ง ยูนิเวนเจอร์ ยังได้ลงทุนในหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผงสังกะสีอ๊อกไซด์ 3.ธุรกิจพลังงาน และ 4.ธุรกิจอื่นๆ โดยในปี 2549 บริษัทมีรายได้ 1,559 ล้านบาท มีกำไร 146 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทจึงไม่ได้ลงทุนในด้านอสังหาฯ ทำให้มีรายได้มาจากการจำหน่ายผงสังกะสีอ๊อกไซด์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จำนวน 779 ล้านบาท กำไร 51 ล้านบาท ลดลงประมาณ 20%
โดยตามแผนในอนาคต บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน 1.ธุรกิจอสังหาฯ ทั้งการลงทุนระยะสั้น และการลงทุนระยะยาว ในสัดส่วน 60%, 2. การผลิตและจำหน่ายผงสังกะสีอ๊อกไซด์ 12%, 3. ธุรกิจพลังงาน 8% และธุรกิจอื่นๆ 2%
อย่างไรก็ตาม การที่คนในตระกูลสิริวัฒนภักดี เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัทยูนิเวนเจอร์ฯ เปรียบเสมือนการต่อยอดให้อาณาจักรของธุรกิจอสังหาฯของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี มีความสมบูรณ์ และสามารถตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งยังมีบริษัท ที.ซี.ซี. แลนด์ จำกัด ธุรกิจของตระกูล ที่กำลังรุกคืบในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ล่าสุดคณะกรรมการบริษัท ได้อนุมัติงบลงทุน เฉพาะเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงแรม 5 แห่ง ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท โดยที่ตั้งของโครงการโรงแรมจะมีทั้งที่อยู่ในกรุเทพฯและต่างจังหวัดตามแหล่งท่องเที่ยว อาทิเช่น โครงการโรงแรมบนถนนสุรวงศ์ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เลอเมอร์ริเดียน ,โครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บนถนนสุรวงศ์ ซึ่งงบดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจระยะ 5 ปี ที่วางเป้าหมายการพัฒนา 18 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทร่วมทุนกับบริษัท แคปปิตอล แลนด์ จากประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ บริษัท ที.ซี.ซี.แคปปิตอล แลนด์ จำกัด ที่เคลื่อนไหวในการลงทุนโครงการต่างๆ ในหลากหลายรูปแบบ ทั้โครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านเดี่ยว เป็นต้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|