โรงแรมอโนมา สวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ เริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาทภายใต้ชื่อบริษัทไพฑูรย์บ้านและที่ดินของกลุ่มรัตตไพฑูรย์
ซึ่งมีคุณหญิงพัชรี ว่องไพฑูรย์ เป็นประธานกรรมการบริหาร การสร้างโรงแรมแห่งนี้เป็นไปตามภาวะเฟื่องฟูของธุรกิจท่องเที่ยวเมื่อปี
2530 ต่อเนื่องมาปี 2531 ในช่วงภาวะดังกล่าวมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยจนจำนวนห้องพักไม่เพียงพอต่อความต้องการ
จึงเป็นเหตุให้นักธุรกิจหลายกลุ่มหันมาสร้างโรงแรมเพื่อเพิ่มช่องทางในการทำกำไรให้กับกลุ่มตนเอง
กลุ่มรัตตไพฑูรย์เริ่มดำเนินการเช่าที่ดิน บนถนนราชดำริ จากชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย
และเช่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงรวมทั้งซื้อที่ดินเป็นของบริษัทตนเองรวมเนื้อที่
3 ไร่ 3 งาน 85.75 ตารางวาเพื่อก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 400 ห้อง
สูง 23 ชั้น (ไม่มีชั้นที่ 13) และมีชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น ด้วยงบลงทุนประมาณ
1,000 ล้านบาท แต่เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ โรงแรมแห่งนี้ก็เดินเข้าสู่ชะตากรรมภาวะท่องเที่ยวตกต่ำอย่างรุนแรง
อันเนื่องมาจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย และเศรษฐกิจชะลอตัวไปทั่วโลกเช่นเดียวกับโรงแรมอื่น
ๆ
ปี 2530 อัตราการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวทะยานสูงขึ้นจากปี 2529 ประมาณเกือบ
30% ต่อเนื่องมาถึงปี 2531 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 4,230,737
คน เพิ่มขึ้น 21.5% ทำรายได้ถึง 78,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.6% ปี 2532
อัตราการเติบโตเริ่มถดถอยลง มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเพียง
4,809,508 เพิ่มขึ้น 13.7% รายได้จากการท่องเที่ยว 96,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
22.2% ปี 2533 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 5,430,000 คนเพิ่มขึ้น 10.2% รายได้ท่องเที่ยว
110,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7%
ปี 2534 เป็นปีที่โรงแรมอโนมาเปิดดำเนินการและเป็นปีที่ภาวะการท่องเที่ยวทรุดหนักมากที่สุดกล่าวคือมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ
5,430,000 คนเพิ่มขึ้น 2.5% รายได้จากการท่องเที่ยว 116,000 ล้านบาทเพิ่ม
4.9% เป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นที่น้อยมาก
พัชรี ผู้บริหารคนสำคัญของกลุ่มรัตตไพฑูรย์ได้รับคำกล่าวนำหน้าว่าคุณหญิงเมื่อปี
2527 เป็นลูกสาวของพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นนักธุรกิจสตรีที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณดีเด่นหลายประเภทจากหลายสถาบันด้วยกัน
อาทิ นักบริหารสตรีดีเด่นสาขาการเงิน-การธนาคารปี 2532 สิบยอดสตรีมาดธุรกิจ
ปี 2533 และล่าสุด ปี 2535 ได้รับรางวัล EXCUTIVE MEDAL AWARD บอกกับ "ผู้จัดการ"
ว่า ทางกลุ่มยังมีความหวังที่จะทำให้อโนมาอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ภาวะการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ให้ได้
เพราะการดำเนินธุรกิจโรงแรมนี้มาจากความคิดที่ว่าต้องการกระจายความเสี่ยงของเงินลงทุนในกลุ่ม
ฉะนั้นกลุ่มจึงต้องทำธุรกิจหลากหลายประเภท และแต่ละประเภทต้องสามารถเป็น
PROFIT CENTER ในตัวเองได้ด้วย
"เราเชื่อว่าธุรกิจทุกประเภทมีวงจร มีช่วงที่บูมและไม่บูม ฉะนั้นการทำธุรกิจหลายประเภทจึงเป็นการทำเพื่อให้มีการทดแทนรายได้ซึ่งกันและกัน
ถ้าประเภทหนึ่งกำไรน้อยก็ต้องมีอีกประเภทหนึ่งกำไรมาก กลุ่มรัตตไพฑูรย์ก็จะสามารถรักษาอัตรากำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพ"
คุณหญิงพัชรี ก้าวเข้ามาทำงานในแวดวงธุรกิจเต็มตัวเมื่อปี 2513 โดยพกพาความรู้ระดับปริญญาโท
สาขาเศรษฐศาสตร์จาก UNIVERSITY IF ILLINOIS, CHAMPAIGN สหรัฐอเมริกา เข้าเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในบริษัท
AUTOPHON A.G. ZURICH SWITZERLAND ต่อมาก็เข้าสู่วงการธุรกิจการเงินโดยทำงานที่ธนาคารเชสแมนฮัตตัน
สาขากรุงเทพฯ เป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อและการตลาด อีก 2 ปีถัดมาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนเฟิสท์ซิตี้
อินเวสเม้นท์ของกลุ่ม วีระนนท์ ว่องไพฑูรย์ (สามี) ต่อมาปี 2529 ได้เข้ารับตำแหน่งกรรมการรองกรรมการผู้จัดการ
ธนาคารมหานคร เมื่อออกจากตำแหน่งดังกล่าวก็ได้เข้ารับผิดชอบธุรกิจในกลุ่มของตนถึง
14 แห่ง แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่ธุรกิจโรงแรมเลย จนกระทั่งตั้งบริษัทไพฑูรย์บ้านและที่ดินขึ้น
บริษัทไพฑูรย์บ้านและที่ดินเปลี่ยนชื่อเป็นไพฑูรย์โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จำกัดเมื่อปี
2533 เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจโรงแรม ประธานกรรมการบริหารกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
และเสริมต่อว่าแรกเริ่มได้ว่าจ้างกลุ่ม SOL MANIVEST B.V. เข้าบริหารโครงการ
แต่ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายและความคิดเชิงบริหารงานขัดแย้งกับผู้ถือหุ้น
จึงมีการยกเลิกสัญญาแล้วหันมาใช้เช่น SWISSOTEL (SWISS-AIR MANAGEMENT) แทน
ปี 2534 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1.72 พันล้านบาท หนี้สิน 1.28 พันล้านบาท
ขาดทุน 56.69 ล้านบาท โครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากรายได้ค่าห้องพัก 67.9
ล้านบาท คิดเป็น 56% รายได้จากอาหารและเครื่องดื่ม 46.6 ล้านบาทคิดเป็น 38%
รายได้อื่น ๆ เช่นค่าเช่า ค่าบริการ 7.6 ล้านบาท คิดเป็น 6% (ดูตารางประกอบ)
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่อเดือน 52% ราคาห้องพักเฉลี่ย 2,835 บาท
คุณหญิงพัชรี กล่าวว่าจากตัวเลขผลการดำเนินงานยังถือว่าไม่บรรลุเป้าหมายแต่ก็อยู่ในขั้นที่น่าพอใจเพราะสถานการณ์อย่างนี้เป็นไปทั่วทุกโรงแรม
แม้ว่าในปี 2535 จะมีการคาดการณ์ว่าภาวะท่องเที่ยวจะดีขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง
6,000,000 คน เพิ่มขึ้น 10.5% รายได้จากการท่องเที่ยว 131,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
12.9% แต่สถานการณ์ท่องเที่ยวก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น ในไตรมาส
1 อัตราการเข้าพักโรงแรมของผู้ที่เดินทางมาประเทศไทยมีประมาณเพียง 55-60%
ของห้องพักโรงแรมแต่ละแห่งเท่านั้น
โรงแรมอโนมาวางเป้าหมายการขายห้องพักไว้ที่ 80% และสัดส่วนรายได้ของห้องเป็น
60% ของรายได้ทั้งหมด โดยมุ่งที่กลุ่มลูกค้าบริษัทท่องเที่ยว 30% นักธุรกิจและลูกค้าทั่วไป
70% เพราะปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามานั้นเกือบ 50% เดินทางมาไทยเพื่อทำธุรกิจซึ่งผิดกับช่วง
3-4 ปีที่ผ่านมา ที่มีนักธุรกิจเดินทางเข้าเพียง 20% ประมาณการปี 2535 คาดว่าจะมีรายได้
477.76 ล้านบาท ถึงปี 2538 รายได้จะเพิ่มเป็น 735.84 ล้านบาท ส่วนกำไรขาดทุนประมาณ
40.21 ล้านบาท จะเริ่มกำไรเมื่อปี 2536 ประมาณ 28.99 ล้านบาท และปี 2538
คาดว่าจะกำไร 92.90 ล้านบาท
ประมาณการดังกล่าวยังต้องพบกับอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศทางการเมืองที่ฉุดคนให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยน้อยลง
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอเมริกา ญี่ปุ่นที่ส่งผลต่อไทยหรือแม้กระทั่งการแข่งขันกันเองระหว่างธุรกิจโรงแรมในไทย
คุณหญิงถึงกับออกปากว่า "กว่าอโนมาจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่ของง่ายต้องออกแรงไปแล้วไม่รู้เท่าไร
วิ่งไปวิ่งมาระหว่างเมืองไทยกับเมืองนอกจนเหนื่อย"
แต่ความเหนื่อยของคุณหญิงก็ถือว่าคุ้ม เพราะสามารถทำให้ยอดขายห้องพักสูงเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ยในตลาดได้
โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โรงแรมอโนมาขายห้องพักได้ถึง 76.93%
งานนี้คุณหญิงใช้ทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัวและการลดราคามโหฬารเหลือราคาเฉลี่ยห้องละ
2,415.21 บาท ปกติราคาห้องพักของอโนมาจะอยู่ระหว่าง 4,000-35,000 บาท แล้วแต่ความต้องการของลูกค้าและความสะดวกสบายที่โรงแรมจัดให้
สงครามตัดราคายังมีให้เห็นอยู่ในภาวะปัจจุบันและสงครามนี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้กำไรลดลง
คุณหญิงวางแผนฝ่ามรสุมโรงแรมด้วยการวางแผนขยายการบริการในโรงแรมให้มากขึ้น
เพื่อการดึงดูดลูกค้า อาทิ ศูนย์สุขภาพ ศูนย์ธุรกิจในโรงแรมรวมไปถึงรีสอร์ทที่จะไว้รองรับนักธุรกิจทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายก็คือเงินทุน ในขณะที่จำนวนหนี้สินใกล้เคียงกับสินทรัพย์
และโรงแรมยังไม่มีกำไรนี้ทำให้คุณหญิงต้องพยายามผลักดันในโรงแรมอโนมาเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนในการขยายกิจการให้ได้
จึงมีการยื่นขอเป็นหลักทรัพย์รับอนุญาตมาตั้งแต่ต้นปี 2533 และได้ผ่านคณะอนุกรรมการรับหลักทรัพย์ของตลาดในปี
2535 นี้ ได้ทำการกระจายหุ้นจำนวน 13.8 ล้านหุ้นราคาพาร์ละ 10 บาท เสนอขายประชาชนหุ้นละ
18 บาท และกำลังรอการอนุมัติจากกระทรวงการคลังเพื่อเข้าซื้อขายบนกระดานหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
สิ้นปี 2532 บริษัทไพฑูรย์หรือโรงแรมอโนมานี้มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท
เสนอเข้าตลาดฯ โดยการเพิ่มทุนอีก 200 ล้านบาท เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม 100
ล้านบาทจำนวน 10 ล้านหุ้นเช่นเดียวกับที่เสนอขายให้กับประชาชน แต่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อไว้เพียง
6.2 ล้านหุ้นที่เหลือจึงได้นำมาเสนอขายประชาชนในครั้งนี้ด้วย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิวรากร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการวาณิชธนกิจ บงล. นวธนกิจ
แกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นโรงแรมอโนมากล่าวว่าหุ้นราคา
18 บาทถือว่าถูกถ้าเทียบกับหุ้นโรงแรมอื่นที่เคยเสนขายประชาชนมาแล้ว สำหรับหุ้นตัวนี้ไม่สามารถพิจารณาจาก
P/E ได้เนื่องจากเป็นโรงแรมใหม่เพิ่มเปิดดำเนินกิจการมาเพียงปีเดียวแต่โรงแรมแห่งนี้
ก็มีความเด่นคืออยู่ใจกลางศูนย์ธุรกิจ ซึ่งเป้าหมายหลักของโรงแรมก็คือลูกค้านักธุรกิจ
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาหุ้นโรงแรมให้ผลตอบแทนโดยรวมไม่ดีนัก แต่ในไตรมาสหนึ่งก็มีแนวโน้มดีขึ้น
คืออัตราผลตอบแทนติดลบน้อยกว่าเดิมเพียง -0.62% กำไรจากมูลค่าเพิ่ม -1.27%
หุ้นโรงแรมอโนมาจึงต้องถือยาวประมาณ 1-2 ปี
คุณหญิงพัชรี เผยอีกว่าแผนการตลาดได้วางไว้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในส่วนของระยะสั้นคือต้องหาลูกค้าให้ได้มากที่สุด
กลุ่มลูกค้าจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ CORPORATE และ LOCAL ทีมการตลาดภายในประเทศแบ่งออกเป็น
4 ทีมเจาะกลุ่มสัมมนารายใหญ่ เช่น ปตท. บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เป็นต้น ทีมการตลาดภายในประเทศที่วางไว้นี้จะรวมรับผิดชอบเจาะกลุ่มลูกค้าสัมมนาที่มาจากต่างประเทศโดยส่วนใหญ่
กลุ่มสัมมนาต่างชาติที่เข้าในไทยมักจะมีบริษัทคนไทยเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วย
ลูกค้ารายใหญ่ ๆ ที่กำลังจะเข้าในเดือนมิถุนายนนี้ก็มี กลุ่มแพทย์จากนานาชาติ
จัดสัมมนาเรื่องโรคกระเพาะ และกระดูก ฯลฯ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็จะมาจาก
เช่น SWISSOTEL และบริษัททัวร์อีกประมาณ 200 แห่งที่มีสัญญากันอยู่ บริษัททัวร์รายใหญ่ที่ส่งลูกค้ามาให้ประจำเช่น
กลุ่มลูกค้าอเมริกามาจากดีสแฮมส์, SEA TOUR, ARLYMEAR กลุ่มลูกค้ายุโรปมาจาก
KUONI INTERNATIONAL กลุ่มลูกค้าอิตาลีมาจาก FRONCO ROSSO กลุ่มลูกค้าเอเชียมาจากเจทัวร์เป็นส่วนใหญ่
ช่วงที่ไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยว ฝ่ายการตลาดของเราจะทำงานหนักและจะอาศัยบริษัททัวร์เอเชียเป็นหลัก
เพื่อพยายามที่จะหาลูกค้าจากไต้หวัน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์เข้ามาเนื่องจากลูกค้าเหล่านี้นิยมที่จะเข้ามาสักการะพระพรหมในเมืองไทยเป็นประจำ
เมื่อสักการะแล้วเสร็จก็ต้องการเที่ยวเมืองหลวงและชอบช้อปปิ้ง จุดที่เราอยู่มีความได้เปรียบ
เพราะทีศูนย์การค้าล้อมรอบไม่ว่าจะเป็นเวิลด์เทรด หรือเซ็นทรัล และต่อไปบริษัทในเครือกำลังจะทำธนภัทรพลาซ่า
ด้านหลังโรงแรมรองรับกับความต้องการของลูกค้าอีกแห่ง ส่วนโครงการรีสอร์ทนั้นจะเลือกสถานที่ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น เช่นกาญจนบุรี เป็นต้น แต่ที่แน่
ๆ พัทยาเราจะไม่เลือกเพราะคู่แข่งเยอะมาก ใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามกลุ่มเป้าหมายที่โรงแรมอโนมาวางไว้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ เพราะนักธุรกิจท่องเที่ยวแถบอเมริกาที่เข้ามาในประเทศไทยไตรมาสแรกลดลงมากถึง
16.35% ถือเป็นการลดลงอันดับ 3 อันดับ 4 คือยุโรปลดลง 8.10% ส่วนเอเชียตะวันออกลดลงเล็กน้อยเพียง
0.97% แต่กลุ่มเอเชียก็เป็นกลุ่มที่มีเจ้าสนามอยู่แล้วหลายแห่งเช่น แมนดาริน
เอเชีย อินทรา ฯลฯ ฉะนั้นคุณหญิงพัชรีและทีมงานคงจะเหนื่อยอีกหลายยกกว่าโรงแรมอโนมาจะยืนเด่นเป็นสง่าอยู่แถวหน้าได้