บิ๊กรับเหมาหันบุกงานนอก


ผู้จัดการรายวัน(3 กันยายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ เพิ่มแรงสปีดหันบุกงานนอกประเทศ หลังตลาดก่อสร้างภาครัฐและเอกชนในประเทศชะลอตามภาวะเศรษฐกิจ บิ๊กช.การช่าง หนีรับงานสร้างเขื่อนประเทศลาว ล่าสุดได้งานสร้างเขื่อนไชยบุรีมูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาทเสือนอนกินไปอีกอย่างน้อย 4-5 ปี แถมงานสร้างถนนในกัมพูชาอีก 2 สาย ด้าน"เนาวรัตน์พัฒนการฯ" ร่วมทุนกับพันธมิตรประมูลงานทุกอย่าง "ซินเท็ค คอนสตรัคชั่นฯ"บินสู่ประเทศดูไบ เจาะตลาดรับเหมาก่อสร้างอาคารสูง

การขาดตอนของการลงทุนโครงการระบบสาธารณูปโภคและโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาล และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ปัจจัยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ลดความต้องการซื้อในระยะนี้ เพื่อรอการเมืองและการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีเพียงตลาดคอนโดมิเนียในเมืองที่มีอัตราเติบโตตามความต้องการซื้อ ขณะที่ภาคการก่อสร้าง ถูกแรงคลื่นจากปัจจัยลบข้างต้น ทำให้การแข่งขันของบริษัทรับเหมาก่อสร้างมีความรุนแรงขึ้น

นายอนุกูล ตันติมาสน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงาน บริหารมนุษย์และบริหารทั่วไป บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปัจจุบันว่า ยังคงกระจายงานทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งงานภายในประเทศยังคงเป็นงานภาครัฐบาล การก่อสร้างทางด่วน ถนนวงแหวน และล่าสุดได้ก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทางถนนวงแหวนมูลค่างาน 2,000 ล้านบาท ส่วนอาคารสูงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทช.การช่าง ได้ขยายออกไปรับงานยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศลาว ได้งานก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวนหลายแห่ง ได้แก่ เขื่อนน้ำงึม 2 มูลค่า 30,000 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างไปเมื่อปีที่ผ่านมาคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2544 นอกจากนี้ยังได้งานก่อสร้างเขื่อนน้ำบาก 1 และ 2 มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปลายปีนี้ ล่าสุดประมูลงานก่อสร้างเขื่อนไชยบุรี มูลค่าถึง 90,000 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างในปี 2551 ซึ่งงานก่อสร้างทั้งหมดสามารถรองรับการดำเนินงานของบริษัทไปได้อีกอย่างน้อย 4-5 ปี

นายอนุกูล กล่าวว่า นอกจากงานก่อสร้างเขื่อนในประเทศลาวที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว บริษัทยังได้งานก่อสร้างถนนในประเทศกัมพูชา อีก 2 เส้นทาง มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งงานเหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงถึงศักยภาพของบริษัท และถือเป็นใบเบิกทางให้บริษัทได้รับงานก่อสร้างในโครงการอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

สำหรับภาวะธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทยในปีนี้ ถือว่ามีการชะลอตัวลงไปบ้าง เนื่องจากช็อคจากภาวการณ์เมือง แต่ถือว่าชะลอไม่มากนัก โดยที่ผ่านมาบริษัทยังคงรับงานก่อสร้างเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งงานราชการ และงานก่อสร้างภาคเอกชน ในส่วนของแนวโน้มเป้าหมายรายได้ทั้งนี้ คงต้องรอประเมินงานรับเหมาก่อสร้างที่จะเข้าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 จากปัจจุบันที่บริษัทมีมูลค่าโครงการที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ประมาณ 23,000 ล้านบาท โดยในครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้อยู่ประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาท

นายวัชรพันธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของบริษัท แม้ว่าจะมีความพร้อมในการเข้าประมูลงานก่อสร้างทุกรูปแบบ โดยมีแผนที่จะร่วมทุนกับบิรษัท โอบายาชิ, บริษัทซิฟโก้ เพื่อเข้าประมูลงาน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแต่อย่างใด สำหรับงานก่อสร้างในปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท เป็นงานในประเทศ 80% ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้าง สะพาน ถนน ท่าเรือ โดยงานที่ถนัดคือการก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ ส่วนอีก 20% เป็นงานประเทศ ได่แก่ เวียดนาม กัมพูชาและดูใบ ซึ่งคู่แข่งสำคัญในย่านนี้ คือ จีน และเกาหลี

"บริษัทรับเหมารายใหญ่ๆในประเทศจะต้องออกไปรับงานยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากๆ เพื่อไปสู่ตลาดที่ใหญ่กว่า ส่วนงานในประเทศขณะนี้ยังมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะเป็นงานที่ประมูลในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนงานประมูลใหม่ของภาครัฐในปัจจุบันมีน้อยมาก คงต้องรอรัฐบาลหน้าเข้ามาบริหารงาน"

นายสมชาย ศิริเลิศพินิช กรรมการผู้จัดการ บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYNTEC กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มประมาณ 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทคาดหวังว่าจะชนะการประมูลงานไม่น้อยกว่า 400-500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปรับงานที่ประเทศดูไบ โดยจะเข้าไปรับงานอาคารสูง ซึ่งเป็นงานที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีความชำนาญ ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร(พาร์ทเนอร์)รายใหญ่ประมาณ 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนประมาณเดือนกันยายนหรืออย่างช้าที่สุดก็ประมาณปลายปีนี้

ส่วนแผนจะเข้าไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในแถบประเทศตะวันออกกลางเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ทางบริษัทคงจะต้องพิจารณาก่อนว่า หลังจากที่บริษัทเข้าไปรับงานที่ดูไบแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หากประสบความสำเร็จบริษัทก็มีแผนที่จะเข้าลงทุนในประเทศอื่น ๆ รวมทั้งในเอเซีย

“ตอนนี้เรากำลังคุยกับทางพาร์ทเนอร์รายใหญ่อยู่ประมาณ 2 ราย ที่ประเทศดูไบ โดยโครงการที่เราจะเข้าไปทำนั้นก็คงจะเป็นโครงการอาคารสูง ซึ่งเป็นงานที่เรามีความเชี่ยวชาญและมีความชำนาญ ในเบื้องต้นเราจะเข้าไปจดทะเบียนตั้งบริษัทที่ดูไบและเข้าถือหุ้นประมาณ 50% ทั้งนี้ เราคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนอย่างเร็วที่สุดก็ภายในเดือนกันยายนหรือถ้าช้าสุดก็คงจะเป็นปลายปีนี้”

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 3,438.69 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีงานในมือมูลค่าประมาณ 7,300 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องอีก 2 ปี


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.