"7 เซียนซามูไรของนักลงทุน"

โดย ศิริมา จินดาทองดี อมรรัตน์ ยงพาณิชย์ ประภาพร นิลสุวรรณโฆษิต
นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

"ผู้จัดการกองทุนของบริษัทจัดการกองทุนเปรียบเสมือนยอดซามูไรที่ชี้ชะตาความสำเร็จหรือล้มเหลวในธุรกิจนี้ โดยมีเครื่องวัดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเป็นตัวตัดสิน"

สภาพเดิมของการลงทุนในหน่วยลงทุน (UNIT TRUST) ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็น "ภาวะของเด็กแคระแกร็น" ที่เกิดมาแล้วไม่ยอมโตด้วยความเชื่อที่ว่าผลตอบแทนของการถือหน่วยลงทุนไม่สามารถตอบสนองต่อนักลงทุนได้มากเท่ากับการลงทุนด้วยตนเอง สภาพคล่องในตลาดน้อยมาก ส่งผลให้ภาวะราคาของหน่วยลงทุน DISCOUNT TO NAV มาโดยตลอด ทั้งที่จริง ๆ แล้วบางหน่วยลงทุนให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นบางตัวในตลาดถึง 20-30%

การเกิดใหม่ของบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทั้ง 7 บริษัท ภายหลังการอนุมัติใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 19 มีนาคมปีนี้จึงถือเป็นปรากฏการณ์ที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างยิ่งว่าโฉมหน้าของการลงทุนในหน่วยลงทุนจะเปลี่ยนไปหรือไม่ บลจ. ทั้ง 7 บริษัทจะสามารถลบล้างความเชื่อเก่า ๆ และกระตุ้นพฤติกรรมการลงทุนที่ทิ้งร้างมานานได้มากน้อยเพียงใด!

บลจ. ที่เกิดขึ้นใหม่ 7 แห่ง ซึ่งช่วยสลายการผูกขาดโดยบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมเพียงแห่งเดียวนั้น ได้แก่ บลจ. วรรณอินเวสเมนท์ ออมสิน บัวหลวง กสิกรไทย บริหารทุนไทย ไทยพาณิชย์ และไทยเอเซีย

แต่ละกองทุนเมื่อได้รับอนุญาตให้สามารถจัดการกองทุนได้ ก็ต้องรีบเตรียมการเพื่อก่อรูปร่าง บลจ. ของตนขึ้นภายในระยะเวลาที่จำกัด ให้ได้ข้อเสนออันจะเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยที่ทางเลือกเหล่านั้นในแต่ละ บลจ. อาจจะดูเหมือน หรือ ผิดแผกกันไป จุดนี้จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสที่เปิดกว้างอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจ

ในแง่ของบุคคล หรือ กลุ่มบุคคลทั่วไป การจะพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าเป็นการสมควรหรือไม่ที่จะเข้าไปใช้โอกาสลงทุนในกองทุนซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้านี้

คำตอบสำหรับประเด็นนี้ สามารถหาได้โดยอาศัยการศึกษาองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ ของแต่ละกองทุนแล้วนำมาประมวลเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนการตัดสินใจเลือกได้

นั่นคือ การพิจารณาถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ลักษณะกองทุนที่ออกนโยบายการลงทุน ผู้จัดการกองทุน (FUND MANAGER) กลยุทธ์ทางการตลาด และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการถือหน่วยลงทุนนั้น ๆ

สำหรับคุณสมบัติของผู้ถือหุ้นใน บลจ. ตามประกาศกฎกระทรวงของกระทรวงการคลังนั้นได้ระบุว่าจะต้องประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ บริษัทจากต่างประเทศซึ่งเชี่ยวชาญการจัดการกองทุนและสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งการรวมตัวของกลุ่มผู้ถือหุ้นเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วต้องสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ (ดูตารางรายชื่อผู้ถือหุ้นของ 7 บลง.)

ธนาคารพาณิชย์ (สัดส่วนการถือหุ้นไม่เกิน 25%) นับได้ว่าเป็นแม่แรงสำคัญยิ่งที่จะช่วยสร้างตลาดกลุ่มนักลงทุนระยะยาวจากตลาดเงินสู่ตลาดทุน โดยระดมเงินออกจากประชาชนเข้าสู่การลงทุนในหน่วยลงทุนด้วยแขนขา คือสาขาที่กระจายอยู่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ

ความสำคัญของสาขาในการระดมทุนนี้เป็นข้อจำกัดที่สำคัญของการบริหารกองทุนสมัยก่อนของ บล. กองทุนรวมที่ทำให้ฐานลูกค้าที่เข้ามาลงทุนในหน่วยลงทุนไม่สามารถขยายฐานสู่ผู้มีเงินออมที่แท้จริงได้

สำหรับบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ (สัดส่วนการถือหุ้นรวมกันไม่เกิน 50%) ส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะของผู้จัดการกองทุนหรือตัวแทนจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนเนื่องจากความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้นมาโดยตลอด

ส่วนบริษัทต่างประเทศซึ่งเชี่ยวชาญการจัดการลงทุน (สัดส่วนการถือหุ้นรวมกันไม่เกิน 25%) จะช่วยบริหารโดยอาศัยประสบการณ์ทางด้านจัดการกองทุนซึ่งมีด้วยกันหลายวิธีคือการเข้าร่วมเป็น INVESTMENT COMMITTEE หรือการจัดสรรคนเป็น FUND MANAGER หรือถ่ายทอด KNOW HOW โดยการฝึกอบรม

จุดสำคัญที่มีผลอย่างยิ่งต่อการพิจารณาเลือกลงทุน คือทิศทางในการลงทุนของแต่ละกองทุนว่าจะเดินไปอย่างไร เพราะจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้สามารถคาดเดาถึงผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

"ปีแรกต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว จะทำอะไรเสี่ยงเกินไปไม่ได้เพราะ ระยะแรกภาพพจน์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต่อเมื่อทดสอบตลาดได้แล้วจึงค่อยเน้นหนักในหุ้นบางกลุ่ม"

ม.ล. ผกาแก้ว บุญเลี้ยง กรรมการผู้จัดการ บลจ. ออมสินให้ทัศนะเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนซึ่งมีความแตกต่างกับกองทุนของ บลจ. วรรณอินเวสท์เมนท์ โดยกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า

"เราถือว่าเราเป็นบริษัทใหม่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจในนี้ ดังนั้นลักษณะของสินค้าที่จะเสนอให้กับนักลงทุนควรจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากหน่วยลงทุนที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน"

อย่างไรก็ตามจากการสังเกตนโยบายการลงทุนทั้ง 7 บริษัท (ดูตารางนโยบายลงทุน) ระยะแรกจะเป็นการลงทุนที่ยึดการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก โดยมักเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการขยายตัวสูง

ระยะเวลาการลงทุนก็อยู่ระหว่าง 5-10 ปี โดยที่ระยะเวลา 5 ปี เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำที่ทางการระบุไว้

สำหรับมูลค่าของกองทุนส่วนใหญ่ในระยะเริ่มต้นนี้อยู่ในช่วงประมาณ 1,500 ล้านบาท ยกเว้นของ บลจ. กสิกรไทยที่มีมูลค่ากองทุนสูงถึง 3,000 ล้านบาท

"จากการสำรวจทำ MARGET SURVEY 3 ครั้งต่อกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มคือ นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บุคคลทั่วไปและลูกค้าธนาคาร ผลปรากฏว่านักลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรแต่ใน 2 กลุ่มหลังให้ความสนใจมากจนเรามั่นใจที่จะออกกองทุนแรกที่มีมูลค่าถึง 3 พันล้านบาท" ดัยนา บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทยกล่าวถึงเหตุผลการออกกองทุนมูลค่าสูง

การลงทุนของหน่วยกองทุนต่าง ๆ จะขึ้นกับดุลพินิจของ FUND MANAGER หรือผู้จัดการกองทุน เพราะผู้อยู่ในตำแหน่งนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกลงทุนเนื่องจากจะเป็นผู้ที่รู้รอบ

ผู้จัดการกองทุนจะทำงานประสานงานกับคณะกรรมการดูแลการลงทุน (INVESTMENT COMMITTEE) ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยการตัดสินใจ โดยที่ FUND MANAGER จะเป็นผู้มีบทบาทมากที่สุดต่อการนำเสนอแนวทางที่ประเมินแล้วว่าจะก่อให้เกิดผลตอบแทนอย่างสูงสุดต่อผู้ถือหน่วยลงทุน

กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณอินเวสเมนท์ กล่าวสนับสนุนว่า "FUND MANAGER แต่ละคนจะมีจุดแข็งของตน ซึ่งต้องโยงกันเพื่อให้การตัดสินใจออกมาในแนวทางเดียวกัน แต่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ต้องอาศัยข้อคิดเห็นจาก INVESTMENT COMMITTEE เป็นสำคัญด้วย"

กลยุทธ์การบริหารกองทุนเป็นเรื่องที่มีความลับสุดยอด กิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้เปิดเผยให้ทราบในบางส่วนว่าหลักในการบริหารกองทุนของวรรณอินเวสท์เมนท์นั้น FUND MANAGER ทั้ง 3 คนในขณะนี้จะร่วมกันดูแลกองทุนด้วยการผสมผสานความสามารถที่มีอยู่เฉพาะด้านเข้าด้วยกัน

กล่าวคือคนหนึ่งมีความชำนาญทางด้านเศรษฐกิจ ภาพรวมอีกคนหนึ่งมีความชำนาญในการลงทุนในหุ้นและอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนจากผู้ถือหุ้นต่างประเทศมีความชำนาญด้านตลาดต่างประเทศ

การลงทุนในหน่วยลงทุน การประหยัดจากขนาดหรือ ECONOMY OF SCALE เป็นหัวใจสำคัญที่จะสะท้อนออกมาในรูปผลตอบแทนที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากวงเงินกองทุนสูงย่อมต่อรองค่าใช้จ่ายในการลงทุนให้ลดน้อยได้ และช่วยกระจายความเสี่ยงเพราะสามารถลงทุนได้หลายหลักทรัพย์ในเวลาเดียวกัน

ผลตอบแทนจากการถือหน่วยลงทุนจะสะท้อนออกมาในรูปเงินปันผล และกำไรจากการซื้อขายหน่วยลงทุนโดยที่กำไรตรงนี้จะมีที่มาจากกำไรจากการเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (CAPITAL GAIN) และกำไรที่ได้รับเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุน

จุดตัดสินใจที่สำคัญจะอยู่ที่ผลของการบริหารกองทุนแต่ละกองทุนหากบริษัทใดบริหารแล้วได้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) โดยเฉลี่ยออกมาสูงกว่ารายอื่น ๆ ก็จะทราบได้เด่นชัดถึงฝีมือการบริหาร

ประมาณเดือนมิถุนายนนี้จะมี บลจ. หลายแห่งเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นและต้องแสดงมูลค่า NAV ของกองทุนในหน้าหนังสือพิมพ์

เวลานั้นคือ ผลการตัดสินใจสำหรับนักลงทุนที่จะดูว่าใครบริหารกองทุนได้เหนือกว่า



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.