การประกอบอาชีพอิสระอาจจะยังไม่ใช่จุดมุ่งหมายของคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับงานราชการหรืองานในภาคธุรกิจเอกชนที่มีสายวิชาชีพอันหลากหลายอย่างมากในปัจจุบัน
ผลการศึกษาเรื่องภาวะการหางานทำของบัณฑิตที่จัดทำโดยทบวงมหาวิทยาลัยบอกเล่าความจริงเอาไว้ในทำนองนั้น
โดยตัวเลขจากการศึกษาก่อนปี 2530 แสดงให้เห็นว่า งานราชการยังคงมีสัดส่วนผู้เข้าทำงานสูงเป็นอันดับหนึ่งเช่นที่เคยเป็นมาแต่อดีต
และรองลงมาก็คือทำกับบริษัทเอกชน
สำหรับในส่วนของการประกอบอาชีพอิสระ ผลของการศึกษาชิ้นเดียวกันได้ระบุว่าสัดส่วนยังเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนอื่น
เพราะจำนวนของบัณฑิตที่ประกอบอาชีพอิสระนั้นมีเพียงไม่ถึง 10% อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาในเชิงของอัตราเพิ่มในแต่ละปีก็ปรากฏว่ามีบัณฑิตหันมาประกอบกิจการอิสระของตนเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มบางอย่างได้ แต่ย่อมไม่ใช่ตัวชี้วัดเด็ดขาดถึงความนิยมจริง
ๆ ของผู้จบการศึกษาว่ามีใจให้อาชีพในภาพส่วนใดมากที่สุด เนื่องจากความต้องการกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้ตรงกันเสมอไป
การจะประกอบกิจการอิสระเป็นของตนเองนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนเพียงนึกจะทำก็ทำได้
หากเป็นเรื่องที่ต้องการความพร้อมทั้งในด้านทุนและความสามารถทางการบริหารจัดการ
ขาดด้านใดด้านหนึ่งก็ย่อมยากที่จะดำเนินการให้สำเร็จได้
ในทัศนะของ ผศ. อำนวย แสงโนรี อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังนั้นเห็นว่า
ในปัจจุบันมีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจำนวนมากต้องการมีวิถีอิสระในทางการงาน
มีกิจการเป็นของตนเอง โดยที่หนุ่มสาวจำนวนหนึ่งนั้นก็มีความพร้อมทางด้านปัจจัยพื้นฐานสำหรับการลงทุนอยู่แล้ว
เพียงแต่อาจจะยังขาดความพร้อมในเชิงของความรู้ทางการบริหารจัดการธุรกิจ
กอบกับการตระหนักว่าในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาย่อมสามารถเสริมสร้างความงาม
พร้อมในด้านของความรู้ได้เป็นอย่างดี ผศ. อำนวยจึงได้ริเริ่มทำโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ
บัณฑิตสตรี (GRADUATE WOMAN SELF-EMPLOYMENT PROMOTION : GW-SEP) ขึ้นในนามของหน่วยงานที่สังกัดโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นผู้นำสตรี
(WOMEN'S ECONOMIC LEADERSHIP DEVELOPMENT : WELD) ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแคนาดาในนามองค์การซีด้า
(CIDA - CANADIAN INTERNATIONAL DEVELOPMENT AGENCY) มีเป้าหมายการทำงานอยู่ที่การส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งในด้านเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคมอยู่แล้ว
เฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรบุคคลที่เป็นเพศหญิง
ส่วนงานถนัดของ ผศ. อำนวยนั้นคืองานด้านการฝึกอบรมไม่จำกัดเนื้อหาว่าด้วยเรื่องใดเป็นการเฉพาะ
"ผมได้ไปอบรมที่อังกฤษเรื่องการฝึกอบรม พบเห็นวิธีการที่แตกต่างจากที่เมืองไทยทำกันอยู่ก็อยากจะทำโครงการสักโครงการหนึ่งตามแบบที่ไปศึกษามา
พอดีผมเรียนปริญญาเอกที่นิด้า สาขาประชากรและการพัฒนา เห็นช่วงนี้มีการเน้นเรื่องสตรีเยอะ
จึงคิดว่าน่าสนใจที่จะทำโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาสตรี" ผู้ช่วยศาสตราจารย์หนุ่มว่าที่
Ph.D. ด้านประชากรและการพัฒนาอธิบายถึงที่มาของการหันมามุ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสตรี
จากข้อมูลดังกล่าวประกอบกับได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการว่างงานของบัณฑิต
ซึ่งมีความแตกต่างระหว่างบัณฑิตหญิงกับบัณฑิตชายอย่างน่าสนใจ ผศ. อำนวยจึงเห็นถึงช่องทางที่จะกำหนดเรื่องในการฝึกอบรม
และเลือกกำหนดระดับกลุ่มเป้าหมายของเขาเอาไว้ที่สตรีที่มีการศึกษาระดับสูง
ปัญหาการว่างงานนั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง ตัวเลขของบัณฑิตว่างงานยังมีอัตราที่สูงมาก
โดยบัณฑิตสตรีเป็นผู้ที่ต้องประสบกับปัญหานี้มากกว่าและอย่างต่อเนื่องกว่า!
ในช่วงหลายปีมานี้ แม้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตค่อนข้างมาก มีการขยายตัวของภาคธุรกิจเอกชนที่สามารถรองรับแรงงานระดับปัญญาชนได้เป็นจำนวนไม่น้อย
แต่ความต้องการของตลาดแรงงานระดับนี้ก็ยังคงน้อยกว่าการตอบสนองของคนที่ก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย
"ทางทบวงมห่วิทยาลัยเคยเสนอไว้ว่าให้แก้ปัญหาการว่างงานด้วยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้จบปริญญาตรีให้มีทัศนคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพอิสระ
เพราะเมืองไทยเราต่อไปเศรษฐกิจพัฒนาขึ้น การไปทำอาชีพอิสระก็เท่ากับเป็นการไปสร้างให้เกิดสินค้าและการบริการมากขึ้น
ไปสร้างให้เกิดกระแสหมุนเวียนได้ดีขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจวัดกันตรงนี้
ในการที่มีการหมุนเวียนของสินค้าและบริการไม่ใช่เรื่องของการรับราชการไปเป็นลูกจ้างไป
ซึ่งไม่มีผลผลิตในประเทศที่พัฒนาแล้วธุรกิจรายย่อยเขาต้องหลากหลาย"
ผศ. อำนวย แสงโนรี ผู้ริเริ่มและรับผิดชอบโครงการเล่าถึงแนวความคิด
ความหมายของคำว่าอาชีพอิสระ ณ ที่นี้ก็คือ การทำธุรกิจนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่โครงการจะมอบให้กับผู้เข้าร่วม
ก็เป็นเรื่องของความรู้ทางธุรกิจ เกี่ยวกับการจัดการ การบริหารงาน โดยจะไม่มีการเน้นวิชาการ
จนเกินพอดี วิทยากรที่ใช้ก็มิใช่นักวิชาการหรืออาจารย์ของสถาบัน แต่เป็นบุคลากรจากภาคเอกชนที่ทำงานด้านการจัดการและบริหารธุรกิจอยู่จริง
ๆ
สำหรับรูปแบบโครงการก็มีความชัดเจนเช่นกัน นั่นคือเป็นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่ดัดแปลงจาก
OVERSEAS TECHNICAL TRAINER'S AWARD (OTTA) ของสหราชอาณาจักร
ลักษณะการฝึกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) การฝึกด้านการจัดการอาชีพอิสระด้วยรูปแบบของการอภิปรายการดูงาน
และปฏิบัติการ 2) การฝึกประสบการณ์จริง โดยผู้เข้าอบรมทดลองดำเนินการธุรกิจที่ตนสนใจร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจนั้นอยู่แล้ว
และ 3) การเสริมสร้างความเป็นผู้นำสตรี
"แทนที่จะต้องไปเรียนถึง 2-3 ปีให้ได้ MBA ซึ่งปัจจุบันนี้มีเยอะมากที่คนจบสาขาอื่นอยากทำธุรกิจ
แต่ไม่รู้เรื่อง จะยืมเงินอย่างไร ค้าขายอย่างไร หาตลาดอย่างไร บางคนต้องลงทุนไปเรียนมินิ
MBA เพื่อจะได้ความรู้เหล่านี้มาทำ แต่ผมว่าออกจะช้าและไม่ตรงในแง่ที่เป็นวิชาการมากเกินไป"
ผศ. อำนวย แสงโนรีกล่าว
นอกจากนี้ ผศ. อำนวยก็เชื่อด้วยว่า "สตรีที่จบปริญญาตรีมีศักยภาพสูงอยู่แล้ว
เขาอาจคิดที่จะทำธุรกิจอยู่ และสามารถทำได้ดี แต่บางทีไม่มีแบบอย่าง ไม่มีจุดเริ่มต้น
โครงการนี้ก็อาจจะช่วยก่อร่างบางอย่างได้"
หลังระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม - 5 มิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นการอบรมครั้งแรก
ผู้เข้าอบรมหญิงล้วน ๆ เกือบ 20 คนคงจะเป็นผู้ตอบได้ว่า ความเชื่อดังกล่าวของ
ผศ. อำนวยเป็นจริงได้เพียงใด