|

หุ้นฟื้นกองทุนทยอยเก็บของห่วงสินเชื่อเทกฯระเบิดลูกใหม่
ผู้จัดการรายวัน(9 สิงหาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นรีบาวด์ 17 จุด หลังสัญญาณนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาเก็บหุ้นใหญ่รอบใหม่ "หมอบุญ" ห่วงปัญหาการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อกิจการกลายเป็นระเบิดลูกใหม่ หลังผลจากลูกแรกซับไพร์มยังไม่จบ ชี้หากเกิดขึ้นจริงร้ายแรงกว่าลูกแรกเยอะ ด้านโบรกเกอร์เชื่อค่าบาททรงตัวได้ไม่นาน จี้รัฐเร่งยกเลิกมาตรการต่างๆ ชี้หุ้นรีบาวน์แค่ระสั้น ระบุตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลง
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (8 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้าเพราะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน หลังจากก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติส่งสัญญาณขายสุทธิต่อเนื่องมาหลายวันจนส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงมากถึง 70 จุดในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์
โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.64 จุด เพิ่มขึ้น 17.24 จุด หรือ 2.12% โดยจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 816.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,967.22 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 551.36 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 648.74 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 97.38 ล้านบาท
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ โรงพยาบาลปิยะเวท ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบริการที่ยังสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ความน่าสนใจจะมากหรือน้อยการดูแลในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง 30% และมาตรการเกี่ยวกับนอมินี
ส่วนการดูแลเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1% เพื่อให้นโยบายต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นผลมากที่สุด นอกจากนี้กระทรวงการคลังและธปท.ควรจะเข้ามาดูแลในเรื่องความต่างของค่าเงินบาทตลาดในประเทศ (ออนชอว์) และค่าเงินบาทในตลาดนอกประเทศ (ออฟชอว์) ให้ไม่เกิดส่วนต่างมากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับปัญหาการปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการ ที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ในอนาคตและอาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้อีกครั้ง โดยในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะปัจจุบันธนาคารได้ปล่อยกู้เพื่อไปเทกโอเวอร์ แต่มีการขายสินทรัพย์ในราคาที่สูง ขณะที่ผลดำเนินงานไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้กองทุนหลายกองทุนเริ่มขาดทุนจากการลงทุน
"การปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อกิจการ อาจจะเป็นระเบิดเวลาลูกสองที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยลูกแรกคือเรื่องหนี้เสียของภาคอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา แต่ลูกที่สองหากเกิดขึ้นน่าจะรุนแรงกว่าลูกแรกด้วย เพราะตัวเลขการปล่อยกู้มีตัวเลขสูงถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เรื่องหนี้เสียของอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐมีเพียง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ"น.พ.บุญกล่าว
แนะลงทุนตปท.ลดเสี่ยง
นายแพทย์บุญ กล่าวอีกว่า การเลือกลงทุนในต่างประเทศถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุน แต่นักลงทุนจะต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของเงินลงทุนโดยหากมีพอร์ตลงทุนไม่มากการเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็ถือว่าเหมาะสมเพราะมีความเสี่ยงจากการลงทุนน้อย หรือลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่
"การลงทุนในต่างประเทศเป็นทางเลือกในการลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยถือว่าแคบมากประกอบกับตลาดหุ้นในต่างประเทศมีสินค้าให้เลือกมากกว่าในตลาดหุ้นไทยทำให้ความเสี่ยงจากการลงทุนน้อยกว่า และอาจจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย"นายแพทย์บุญกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ากองทุน Sovereign หรือกองทุนของนักลงทุนในแถบเอเชีย และประเทศผู้ค้าน้ำมัน จะมีเงินกองทุนสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนดังกล่าว แต่ความน่าสนใจจะมากหรือน้อยการดูแลในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองรวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ
จี้แบงก์ชาติยกเลิก30%
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า ในระยะสั้นค่าเงินบาทอาจจะทรงตัวได้ต่อเนื่องเนื่องจากได้รับผลจากนโยบายของรัฐที่ประกาศออกมา รวมถึงมีการชำระเงินกู้ของภาคเอกชนก่อนกำหนดแต่ในระยะยาวมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะเศรษฐกิจของประเทศยังมีการเติบโตที่ดี การส่งออกยังอยู่ในระดับสูง โดยมีโอกาสที่อาจจะแข็งค่าไปถึงระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากนักเพราะอยู่ในระดับที่ไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก
"การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศไม่ถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะหากมีผลต่อค่าเงินมากแบงก์ชาติก็อาจจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เองซึ่งเรื่องดังกล่าวหลายฝ่ายก็อยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว"นายญาณศักดิ์กล่าว
เชื่อปรับขึ้นแค่1-2วันเท่านั้น
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ 80 จุด ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีการรีบาวด์ขึ้นมา แต่เชื่อว่าจะเป็นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น1-2 วันเท่านั้น จากที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมา จากเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว
"บริษัทเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาลงอยู่ จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว โดยการที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลง จะต้องจับตาว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นออกมาระรอกที่ 2 ซึ่งหากมีแรงขายออกมาอีกโอกาสที่จะดัชนีจะปรับตัวลดลงได้" นายอดิศักดิ์ กล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|