|

หุ้นไทย 6 วันร่วง 70 จุด ผวาฟองสบู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผู้จัดการรายวัน(7 สิงหาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทยรูดไม่หยุดห่วงปัญหาซับไพร์มลามกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตลาดหุ้นไทยปิดร่วงอีก 21 จุด ฝรั่งขายต่อ 2.7 พันล้านบาท แค่ 6 วันหุ้นรูดเกือบ 70 จุด “อาจดนัย” แนะจับตาสัญญาณแก้ปัญหาซับไพรม์ ชี้หากมีแนวทางที่ชัดเจนจะช่วยบรรเทาปัญหา ด้าน บล.เคจีไอ เชื่อเดือนนี้ ตปท.จ่อขายสุทธิ 5 หมื่นล้าน ขณะที่ “ศิริวัฒน์” ไม่เชื่อหลังเลือกตั้งตลาดหุ้นจะดีขึ้น ระบุนักลงทุนไทยพึ่งพิงการซื้อขายของต่างประเทศมากเกินไป โบรกฯชี้หลุดแนวรับ 820 จุดอาจไหลรูดแตะ 780 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (6 ส.ค.) ดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังนักลงทุนต่างชาติยังเทขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub-prime) ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้มีการโยกเงินเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลง และกระแสการปรับพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชียหลังมีการเข้ามาซื้อขายสุทธิต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 820 จุดนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 780 จุด โดยดัชนีวานนี้ปิดที่ 815.87 จุด ลดลง 21.86 จุด หรือ 2.61% ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 821.79 จุด และจุดต่ำสุดที่ 813.14 จุด มูลค่าการซื้อขาย 18,165.20 ล้านบาท โดยเพียง 6 วันทำการดัชนีปรับตัวลดลงมาแล้ว 68.29 จุด หรือ 7.72%
ทั้งนี้ นักงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องอีก 2,693.57 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 65.93 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,627.64 ล้านบาท
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด และประธานชมรมโบรกเกอร์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนไปจนว่าประเทศสหรัฐจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) เนื่องจากเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เงินทุนจากต่างประเทศถอนการลงทุนออกไปจากตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวลดลง 3.5% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียลดลง 3.5% ตลาดหุ้นเกาหลีลดลง 1.6% ตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 2.6%
ทั้งนี้ สิ่งที่จะต้องพิจารณาในตอนนี้คือ ปัญหาเกี่ยวกับซับไพรม์มันสามารถควบคุมได้หรือไม่ เพราะหากปัญหาฝั่งรากลึกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องหาคำตอบรวมถึงแนวทางในการแก้ไขให้ได้
“ตลาดหุ้นเรามีขนาดเล็กมาก ถ้ามีการถอนเงินลงทุนเราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดน ตอนนี้แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของเราจะยังดีแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย กองทุนที่ลงทุนในเมืองไทยจำเป็นที่จะต้องถอนเงินลงทุนเพื่อไปจ่ายเงินให้ลูกค้าที่มีถอนเงินลงทุนไปก่อนหน้านี้” นายอาจดนัยกล่าว
สำหรับการขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา การจะตอบคำถามว่าในรอบนี้จะมีการถอนออกไปมากหรือไม่ หรือมากหรือยังยังเป็นเรื่องที่บอกได้ยาก เพราะเมื่อเทียบกับสัดส่วนของเงินทุนที่ขายกับเงินทุนที่ซื้อสุทธิมาก่อนหน้านี้ยังถือว่าน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม หากปัญหาซับไพร์มสามารถแก้ไขให้ชัดเจนได้มากขึ้น เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนได้อีก โดยเชื่อว่าจะยังคงเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่
ห่วงต่างชาติขาย 5 หมื่นล้าน
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/50 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัวลดลง หลังตลาดหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 30% โดยคาดว่าจะมีการย้ายเงินลงทุนจากตลาดหุ้นไทยยังตลาดตราสารหนี้และตลาดเงิน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยให้ความสนใจผลการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 7 ส.ค. แต่หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจจะมีผลดีแค่เพียงระยะสั้นแต่จะสะท้อนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯไม่ดี แต่หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงจึงเป็นแรงจูงใจให้เม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนโดย บล.เคจีไอ คาดว่าเฟดน่าจะมีปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.25%
“งบการเงินไตรมาส 2/50 ทั่วโลกออกมาแล้วสะท้อนว่าเศรษฐกิจยุโรปมีการชะลอตัว ขณะที่สหรัฐมีการว่างงานสูงขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยไม่มีการปรับตัวลดลงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 5.25% มานาน จึงคาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับฐานในช่วงไตรมาส 2” นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า
สำหรับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยปีละ1 แสนล้านบาท ขณะที่ต้นปีถึงปัจจุบันมีการซื้อสุทธิอีก 1.3 แสนล้านบาท ดังนั้น เชื่อว่าเดือนสิงหาคมนี้นักลงทุนต่างประเทศจะยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีการขายออกมาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังมีการขายออกมาได้อีก
ขาใหญ่ไม่เชื่อ ศก.ดีขึ้น
นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อดีตนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านไม่ได้เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่อยู่ในแนวโน้มที่ดีแต่การปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นเพราะแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลักเมื่อมีการเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นก็ขึ้น เมื่อมีการขายสุทธิหุ้นก็ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ความเชื่อว่าของหลายฝ่ายเกี่ยวกับความชัดเจนภายหลังการเลือกตั้งส่วนตัวยังเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะส่งผลในเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะปัญหาทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นความไม่มีเสถียรภาพของพรรครัฐบาล ปัญหาภายในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ ฯลฯ ยังเป็นปัจจัยที่น่าจะกดดันการลงทุนไปอีกระยะหนึ่ง
“ผมเชื่อว่าตอนนี้ฝรั่งเค้าติดหุ้นนะ เพราะตอนที่เค้าซื้อสุทธิ 4 -5 พันล้านบาทต่อวันหุ้นก็ขึ้นวันละปีประมาณ 10 จุด แต่เค้าขายสุทธิวันละ 1-2 พันล้านบาท หุ้นลดลงไปประมาณ 20 จุด แต่แม้ว่าเค้าจะขาดทุนไปบางก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะยังมีกำไรจากค่าเงินบาท” นายศิริวัฒน์กล่าว
ในเรื่องปัญหาการแข็งค่าของค่าเงินบาท มองว่าคำตอบของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพราะนักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนซึ่งหากพิจารณาในสัดส่วนเมื่อเทียบกับทุนสำรองคิดเป็นประมาณ 5% ซึ่งไม่น่าจะมีผลมากนักต่อการแข็งค่าของเงิน โดยในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้เชื่อว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าไปที่ 34-35 บาทแต่เมื่ออ่อนค่าราคาน้ำมันในประเทศก็จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแทน
แนะซื้อฟิวเจอร์ลดเสี่ยง
นายธนวัฒน์ พาณิชเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขณะนี้ราคาฟิวเจอร์มีส่วนต่างกับ SET50 อยู่ประมาณ 20 จุด เนื่องจากที่ผ่านมาต่างชาติเริ่มขายออกโดยมีส่วนลด (Discount) ส่งผลให้ราคากว้างมากขึ้นทำให้มีความห่างกันมากผิดปกติต่างจากทฤษฎีที่ราคาฟิวเจอร์และSET50 จะต้องอยู่ในทิศทางเดียวกันและราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อไรที่ระดับความห่างของราคาฟิวเจอร์และSET50 มีความห่าง 5-6 จุด ก็เป็นสัญญาณให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นได้
สำหรับในวันนี้ (7 ส.ค.) ทางชมรมผู้ประกอบการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าจะมีการหารือในเรื่องการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายออปชัน และการวางหลักประกันออปชั่น ซึ่งในเบื้องต้นทางชมรมผู้ประกอบการของตลาดอนุพันธ์คาดว่าจะอยู่ที่ 1 หมื่นบาทต่อสัญญา โดยวันนี้ทางสมาคมจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปถึงค่า Initial Margin : IM, Maintenance Margin : MM และ Force Close อย่างเป็นทางการ
เฮดจ์ฟันด์ขายไม่หยุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐอเมริกาที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอาจจะเป็นจุดกำเนิด และเกิดการกระจายไปยังเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ และกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่แตกได้ ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าขณะนี้ปัญหาดังกล่าวจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ จริงเพราะยังไม่มีความแน่ชัดเกี่ยวกับตัวเลขสินเชื่อที่เกิดปัญหาแท้จริงออกมาจากทางภาครัฐ
ทั้งนี้ เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ทำการการเทขายออกไปจากตลาดหุ้นภูมิภาคขณะนี้นั้น ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นพวกเฮดจ์ฟันด์มากกว่านักลงทุนระยะยาว เพราะถ้าเปรียบเทียบจำนวนเม็ดเงินที่ขายไปตั้งแต่ต้นเดือนเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเม็ดเงินของนักลงทุนที่ซื้อต่อเนื่องมาตลอด ดังนั้นเชื่อว่าในส่วนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นนักลงทุนระยะยาวคงจะแค่ลดพอร์ตการลงทุนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีอาจจะเกิดการปรับตัวลดลงต่ำกว่าแนวต้านที่ 800 จุด โดยคาดการณ์แนวรับที่ระดับประมาณ 770-790 จุด
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า การปรับตัวลดลงในช่วงนี้เกิดมาจากการปรับตัวตามตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ จากความกังวลเรื่องปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ แต่หลังจากที่มีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ อาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ถ้าปัญหาความกังวลจากซับไพรม์ของสหรัฐฯ ยังไม่หมด อาจจะส่งทำให้ผลดีที่คาดว่าจะได้รับจากการผ่านร่างประชามติลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องน่าจะลดลงไม่เกิน 5% โดยให้แนวรับที่ 793-800 จุด และแนวต้านที่ 820 จุด เนื่องมาจากคาดการณ์ว่าดัชนีสหรัฐฯ น่าจะลดงอีกไม่เกิน 500 จุด มาอยู่ที่ระดับดัชนีประมาณ 12,800 จุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวลดลงมากว่า 800 จุดแล้ว
ลุ้นหุ้นรีบาวนด์ยืน 800 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ต้องติดตามปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้ามาสนับสนุนการลงทุนซึ่งหากดัชนียังคงยืนเหนือระดับ 800 จุดได้ คาดว่าจะเห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่2/2550ของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะออกมาดี ประกอบกับจะมีการลงประชามติการร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 นี้ ซึ่งน่าจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน
“ขณะนี้เราคงยังประเมินไม่ได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงหลุด 800 จุดหรือไม่ ซึ่งคงต้องติดตามต่อไปภายใน 2-3 วันนี้ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะสามารถยืนเหนือ 800 จุดได้หรือไม่ ซึ่งหากยืนอยู่ได้ก็น่าจะเห็นการรีบาวน์ได้” นางสาวปองรัตน์กล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|