ในก้นบึ้งของความรู้สึก สมใจ อารีพงษ์ ไม่เคยนึกมาก่อนว่า สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับองค์กรที่เขารัก
และร่วมงานมาด้วยเป็นเวลาเกือบ 20 ปี
เขาเป็นคนนครศรีธรรมราช เข้าทำงานกับโรงงานปูนซิเมนต์ทุ่งสง ตั้งแต่ปี
2521 ในชีวิตการทำงานของเขา เคยผ่านประสบการณ์ของการปรับลดค่าเงินมาแล้วถึง
2 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่ากับครั้งนี้
เขาเพิ่งมีอายุครบ 40 ปี ในวันที่รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หน้าที่ของเขาขณะนั้น
เป็นพนักงานชุมชนสัมพันธ์
"ชาวบ้านแถวนี้เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อก่อนตอนปูนขายดี
จะมีรถขนปูนมารอรับปูนจากโรงงานเป็นแถว นับร้อยคันต่อคิวกันยาวเหยียด ชาวบ้านก็ได้อาศัยค้าขายกับพวกรถปูนแถวนี้
แต่หลังจากวิกฤติ ลานจอดรถรับปูนว่างโล่งไปหมด เพราะปูนขายไม่ได้ เขาก็เป็นห่วง
เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ ก็ให้ลูกหลานเข้ามาทำงานกับโรงปูนที่นี่กันทั้งนั้น"
ความรู้สึกของสมใจ ก็ไม่แตกต่างจากสุดารัตน์ ชนะคช เธอเป็นคนทุ่งสงโดยตรง
เข้าทำงานที่โรงงานแห่งนี้ มาตั้งแต่ปี 2523 มีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินเดือนของพนักงาน
ประจำส่วนการบุคคล
"ตอนนั้นรู้สึกตกใจ และห่อเหี่ยว เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเราหรือเปล่า
มีเพื่อนหลายคนที่ทำงานแบงก์ถูกให้ออกจากงาน พนักงานทุกคนก็หวั่นไหว ก็เข้ามาสอบถามจากเราตลอดเวลาว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
เพราะเราจะเป็นคนดูแลเรื่องเงินเดือนให้กับเขา"
ความรู้สึกของสมใจ และสุดารัตน์ สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศและความรู้สึกของพนักงานทุกคนในโรงงานทุ่งสงช่วงเริ่มต้นวิกฤติได้อย่างดี
เพราะแม้จะอยู่ในเครือซิเมนต์ไทย องค์กรอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ และเป็นโรงงานปูนซิเมนต์เพียงแห่งเดียวในภาคใต้
แต่ความรุนแรงของวิกฤติที่เกิดขึ้นกลางปี 2540 ก็สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นไปทั่ว
จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ดึงกำลังใจของพนักงาน ให้กลับคืนมา คือการที่ได้มีโอกาสพบปะ
และพูดคุยผู้บริหารระดับสูงของโรงงานโดยตรง
ก่อนหน้าวิกฤติ โอกาสที่พนักงานระดับปฏิบัติการ อย่างเช่น สมใจ หรือสุดารัตน์
จะได้พบ และพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงงาน ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดมีน้อยมาก
เนื่องจากธุรกิจที่กำลังเดินไปด้วยดี ทำให้ผู้บริหารไม่มีเวลา
แต่หลังเกิดวิกฤติ ศิระ ศรีศุกรี ผู้อำนวยการได้เรียกประชุมพนักงานระดับปฏิบัติการ
ซึ่งขณะนั้นมีอยู่ประมาณ 600 คน โดยเขาเป็นผู้มาชี้แจงด้วยตนเองถึงแนวทางที่จะทำเพื่อให้โรงงานทุ่งสงผ่านพ้นสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
การประชุมจัดแบ่งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 150 คน โดยมีการจัดประชุมกัน
3 ครั้ง เพื่อให้ศิระได้มีการชี้แจงแนวทางกับพนักงานได้อย่างทั่วถึง
"เราได้มีโอกาสพบกับท่าน ทำให้พนักงานทุกคนเข้าใจ ขวัญ และกำลังใจดีขึ้น
พนักงานทุกคนได้รู้ว่าสถานการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร และเราจะสามารถช่วยบริษัทได้อย่างไร
ทุกคนพร้อมที่จะเดินหน้าร่วมแก้ไขปัญหากับบริษัท โดยช่วยกันประหยัด" สุดารัตน์บอก
การสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้บริหารลงไปถึงพนักงานระดับล่าง นับเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการแก้ไขวิกฤติของโรงงานทุ่งสง
แม้ทุกวันนี้ สถานการณ์ของโรงงานจะดีขึ้น และตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เปลี่ยนตัวบุคคลจากศิระ
มาเป็น สันติ แต่การสื่อสารโดยตรงจากระดับกรรมการถึงพนักงานก็ยังคงมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ช่วงวิกฤติ ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) ได้นำเทคโนโลยีพัฒนาอินทราเน็ตสำหรับใช้เป็นการภายใน
และยังคงใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ภายในอินทราเน็ต นอกจากการรวบรวมข้อมูลของทุกส่วนงานเพื่อประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจแล้ว
ยังเปิดห้องสนทนาระหว่างพนักงาน และกรรมการผู้จัดการขึ้น
ห้องสนทนานี้ เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน ในภาวะที่ธุรกิจเริ่มดีขึ้น
และโอกาสในการลงไปพบปะกับพนักงานระดับล่างของกรรมการผู้จัดการ มีน้อยลงอย่างในปัจจุบัน
ในห้องนี้ พนักงานทุกคนสามารถที่จะตั้งคำถามโดยตรงส่งไปถึงกรรมการผู้จัดการ
และกรรมการผู้จัดการ ก็จะตอบคำถามที่ส่งมาทุกคำถาม ไม่ว่าคำถามนั้นจะใช้ชื่อจริงหรือนามแฝง
พนักงานของโรงงานทุ่งสง จึงไม่มีใครที่ไม่เข้าใจถึงนโยบาย หรือทิศทางที่ฝ่ายบริหารกำหนด
ทุกคนยังพร้อมรับ และยินดีที่จะปฏิบัติตามอย่างเต็มที่