|
ทุนฮ่องกงขอซื้อหุ้นแสนสิริเพิ่ม30ล.หุ้น
ผู้จัดการรายวัน(2 สิงหาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
กลุ่มทุนฮ่องกง "อัลลิน่า ซาลิม" ขอซื้อหุ้นแสนสิริจากเอ็นพาร์ค เพิ่มอีก 30 ล้านหุ้น เป็น 330 ล้านหุ้นหรือ 22% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ระบุอยู่ระหว่างตกลงราคาซื้อ-ขาย ด้านแสนสิริระบุไม่กระทบแผนดำเนินงาน เหตุผู้ถือหุ้นรายใหม่จะไม่เข้ามามีส่วนในการบริหารงาน
นายเสริมสิน สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด หรือ N-Prak ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงเรื่องความคืบหน้าในการขายหุ้นของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาการชำระหนี้สถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า จะขายหุ้นสามัญของบริษัท แสนสิริฯ จำนวน 300 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.09 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 927 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาปิดเฉลี่ย 90 วันทำการย้อนหลังนับจากวันทำรายการซื้อขาย ให้แก่กลุ่มนักลงทุนจากฮ่องกง นำโดยดร. อัลลิน่า ซาลิม (Dr. Allina Salim) โดยแบ่งการขายออกเป็น 2 ส่วน โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ขายหุ้นส่วนที่ 1 จำนวน 205 ล้านหุ้น ไปแล้ว
สำหรับการขายหุ้นส่วนที่ 2 จำนวน 95 ล้านหุ้น ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาการซื้อขายภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า กลุ่มทุนฮ่องกงได้ขอขยายเวลาซื้อออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้ซื้อต้องการที่จะซื้อหุ้น แสนสิริส่วนที่ 2 เพิ่มเติมอีก 30 ล้านหุ้น จาก 95 ล้านหุ้น รวมเพิ่มเป็น 125 ล้านหุ้น ซึ่งหากผู้ซื้อและบริษัทสามารถตกลงราคาซื้อขายและเงื่อนไขอื่นๆ ได้ กลุ่มทุนฮ่องกงจะซื้อหุ้นของแสนสิริ ในส่วนที่ 2 จำนวนรวม 125 ล้านหุ้นในคราวเดียว ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวจาก N-Prak เปิดเผยว่า เดิมหุ้นในส่วนที่สองได้ตกลงซื้อขายกันในราคาเดียวกับส่วนแรก คือ 3.09 บาท/หุ้น แต่เนื่องจากกลุ่มทุน ดร.อัลลิน่า ต้องการซื้อหุ้นของแสนสิริเพิ่มอีก 30 ล้านหุ้น จึงขอตกลงซื้อขายกันใหม่ ทั้งในเรื่องของเงื่อนไข และราคา คาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็วๆนี้ และหากสามารถตกลงซื้อขายกันได้ ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มทุน ดร.อัลลิน่า กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 330 ล้านหุ้น หรือประมาณ 22% ส่วนอันดับที่ 2 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือ 233.6 ล้านหุ้น หรือ 15.66%
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้แสนสิริฯ ได้ระบุว่า การเข้ามาถือหุ้นของกลุ่ม ดร.อัลลิน่า จะไม่ส่งผลกระทบหรือมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานแต่อย่างใด เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่จะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแสนสิริ ได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 12,610 ล้านบาท จากเดิม 6,628 ล้านบาท ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการบริษัท แสนสิริ ฯ มีแผนซื้อหุ้นเพิ่มทุนของแสนสิริ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากที่ถืออยู่ 0.06% เป็น 24% คาดว่าจะใช้เม็ดเงินประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ดังนั้นแสนสิริฯจึงได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกวอร์แรนต์ จัดสรรให้แก่นายเศรษฐาเพียงคนเดียว แต่การออกวอร์แรนต์ดังกล่าวเป็นการเข้าข่ายจัดสรรหุ้น ESOP หรือหุ้นที่ออกให้แก่ผู้บริหาร กรรมการหรือพนักงานของบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก.ล.ต.พิจารณาอนุมัติ หากก.ล.ต.อนุมัติจะทำให้นายเศรษฐาขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|