|

จี้รัฐจัดการปัญหานอมินีก่อนฮุบตลาดอสังหาริมทรัพย์
ผู้จัดการรายสัปดาห์(6 สิงหาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
- กระทุ้งรัฐเร่งแก้ปัญหาต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทย ก่อนเงินทุนไหลเข้าประเทศเพื่อนบ้าน
- แนะกลเม็ดดึงทุนข้ามชาติลงทุนในไทย กำหนดกรอบการลงทุนชัดเจน และยืดระยะเวลาให้เช่าที่ดินนาน 90 ปี
- แฉต่างชาติแอบถือครองอสังหาริมทรัพย์ถึง 35%
ปัญหาการถือครองกรรมสิทธิ์แทนหรือนอมินี ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ภาครัฐไม่ให้ความสนใจที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ปล่อยให้นักลงทุนข้ามชาติ และนักเก็งกำไรเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่มีความผิด ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับเศรษฐกิจโดยรวม เพราะลักษณะการเข้ามาลงทุนของนักเก็งกำไรจะเข้ามาลงทุนระยะสั้น เมื่อได้ผลตอบแทนในระดับที่พอใจแล้วจะขายอสังหาริมทรัพย์ทิ้ง ทำให้เกิดความผันผวนในระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
จี้รัฐควรจริงในในการแก้ปัญหา
มานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนโดยนักลงทุนข้ามชาติถึง 35% ในลักษณะถือครองที่ดิน หรือถือหุ้นแทน(นอมินี)โดยคนไทย เป็นการถือครองที่ไม่ถูกต้อง โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเป็นตัวแปรในการเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากการลงทุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและเอาเปรียบทุนไทย เพราะต่างชาติจะได้เปรียบในแง่ที่มีแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำกว่าคนไทย รวมถึงมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
ภาครัฐจึงควรเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการออกมาตรการ หรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานอมินีขึ้นมาอีก ก่อนที่ประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ ซึ่งควรจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนข้ามชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทยในลักษณะเช่าระยะยาว แทนการเข้ามาลงทุนผ่านนอมินี และควรจะกำหนดเงื่อนไขการลงทุนให้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเวลาที่ควรจะปล่อยให้นักลงทุนข้ามชาติเช่าแบบระยะยาว เพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติ
หากรัฐบาลไม่ต้องการเกิดปัญหานอมินี ควรมีมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมและชัดเจนรวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน เช่น กรอบระยะเวลาในการถือครองซึ่งปัจจุบันชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ได้เพียง 30 ปีเท่านั้น เป็นระยะเวลาที่ไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เพราะบางประเทศมีการให้สิทธิ์การถือครองได้นาน 90 ปี ซึ่งไทยควรจะเปิดโอกาสให้ต่างชาติเช่าระยะยาว 90 ปี บ้าง เพื่อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น
“ หากภาครัฐต้องการแก้ปัญหานอมินี ควรมีการแก้กฎหมายการถือครองกรรมสิทธิ์ของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อเป็นการดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช่สนใจแต่การแก้ปัญหาคอรัปชั่นและการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ควรให้ความสนใจกับปัญหาเศรษฐกิจด้วย”มานพ กล่าว
ส่วนผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่มีตัวแทนเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์แทนเจ้าของที่แท้จริงนั้นโดยภาพรวมได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะนักลงทุนข้ามชาติไม่สนใจลงทุนในโครงการระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด แต่นิยมลงทุนในโครงการระดับไฮเอนด์ ซึ่งมีจำนวนน้อยหากเทียบกับมูลค่าตลาดรวม หรือลงทุนเพียง 5% ของตลาดไฮเอนด์ทั้งหมด
ยอมรับไทยหนีทุนต่างชาติไม่พ้น
กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ กรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คซี่ จำกัด กล่าวว่า ปัญหานอมินีต้องมอง 2 ด้าน และต้องมองเจตนารมณ์ของผู้กระทำด้วย โดยด้านดีของการมีนอมินี คือ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุน และเป็นการทำให้บริษัทต่างๆมีสภาพคล่องทางการเงินไปด้วย
ส่วนด้านไม่ดี คือ เป็นช่องโหว่ให้นักลงทุนไทยซื้อขายผ่านใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยหรือเอ็นวีดีอาร์ เพื่อสร้างราคาหุ้น นอกจากนี้การซื้อขายผ่านเอ็นวีดีอาร์ ยังเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงให้กลุ่มผู้ลงทุนที่ซื้อขายรวมกันเกิน 5% ไม่ต้องรายงาน หรือไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั่วไปหรือเทนเดอร์ ออฟเฟอร์
“ไทยไม่สามารถปฏิเสธทุนจากต่างชาติได้ เพราะยังต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติ และปัจจุบันนี้ มีทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนถึง 49%ผ่านทางกองทุน และในตลาดหลักทรัพย์”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎหมายหลายเรื่องยังมีช่องว่างเพื่อให้มีการหลีกเลี่ยงภาษี สำหรับแนวทางการอุดช่องว่างการหลีกเลี่ยงภาษี นั้น ภาครัฐควรจะเร่งปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับภาษี เพื่อลดช่องโหว่ในการหลบหลีกภาษี เช่น การหาทางให้ประชาชนในประเทศสามารถนำค่าใช้จ่ายต่างๆเช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ นำใบเสร็จมาหักภาษีในอัตราที่เหมาะสม เพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุน นอกจากนี้ อาจมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมของกลุ่มที่เป็นตัวแทนหรือนอมินีที่เข้ามาลงทุน หรืออาจมีการเพิ่มบทลงโทษแก่คนกลุ่มนี้ เช่น เพิ่มโทษจำคุกจาก 3 ปีเป็น 5 ปีหรือปรับ 5 ล้านบาท เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
แฉนอมินีฮุบตลาดหุ้นไทย 21%
ด้านวิศิษฎ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรินิตี้ จำกัด กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ประเทศไทยปฏิเสธทุนจากต่างชาติไม่ได้ ซึ่งทุนต่างชาติไม่ได้ไหลเข้ามาเฉพาะประเทศไทยแต่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย สำหรับนอมินีต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีประมาณ 21% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Marketcap) จากตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่มีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านบาท โดย14%ใช้ธนาคารต่างประเทศและผู้รับฝากหลักทรัพย์เป็นนอมินีและไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งพบว่าบริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีถึง 6 บริษัทที่มีนอมินีเข้ามาถือหุ้นแทน
แต่อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สามารถเข้าไปตรวจสอบการเป็นนอมินีของกลุ่มบุคคลที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ควรเข้ามาควบคุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังการถือครองผ่านนอมินี เนื่องจากนักลงทุนอาจใช้ช่องทางดังกล่าวผ่านนอมินีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และบังคับให้มีการเปิดเผยตัวในการเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วย เพื่อความโปร่งใสและสามารถเข้าไปตรวจสอบได้
ในขณะที่ สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH กล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัวอยากให้ภาครัฐมีมาตรการในการควบคุมการขายที่ดินให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยจากการซื้อก็เปลี่ยนมาให้เช่าระยะยาวแทนเพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีข้อเสียเปรียบในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เงินลงทุน เทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายที่นักลงทุนต่างชาติที่กว้างกว่านักลงทุนไทย ซึ่งการลดช่องว่างการได้เปรียบในเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นต่อผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจไทย
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|