ปูนใหญ่กระอักพิษบาทแข็งครึ่งปีแรกกำไรสูญ1.9พันล้านบ.


ผู้จัดการรายวัน(26 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ปูนใหญ่ รับพิษค่าบาทแข็ง 6 เดือนแรกกำไรสูญแล้ว 1.9 พันล้านบาท ผสมโรงเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดผลงานครึ่งปีแรกวูบกว่า 13% ขณะที่งบเฉพาะไตรมาส 2 ได้รับแรงหนุนจากการขายเงินลงทุนทำให้กำไรสุทธิเพิ่ม 16% ขณะที่ผู้บริหาร ปรับแผนเบนเข็มเพิ่มส่งออกหลังตลาดในประเทศชะลอตัว ส่งผลให้ยอดส่งออกเพิ่มเป็น 33-34% และยอดการรับรู้รายได้เงินดอลลาร์สูงขึ้น พร้อมคาดปีนี้โตไม่ถึงเป้า 5 % พร้อมทุ่มงบ 450 ล้านบาทลุยผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในกัมพูชา

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลงานของบริษัท โดยทำให้กำไรครึ่งแรกปีนี้ลดลง 1,900 ล้านบาท เทียบกับปี 2549 ที่กำไรสุทธิลดลงจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 1,800-1,900 ล้านบาท และช่วงครึ่งหลังปีนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 3.50 บาท จะกระทบต่อกำไรใกล้เคียงกันกับช่วงครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทประมาณ 800 – 900 ล้านบาท โดยเฉลี่ยหากว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาท บริษัทจะได้รับผลกระทบประมาณ 900 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับสัดส่วนการส่งออกสินค้าด้วยว่ามากน้อยเพียงใด

สำหรับมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการให้บริษัทสามารถถือครองเงินสกุลสหรัฐได้นานขึ้น เชื่อว่าช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้ ถือเป็นการผ่อนคลายได้บ้าง แต่อัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมากจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างคงต้องติดตามควบคู่กันไป และก็คงต้องติดตามมาตรการของธปท. ว่าจะมีมาตรการใดออกมาเพิ่มอีกหรือไม่

นายกานต์ กล่าวถึง โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของบริษัทอยู่ที่ 5% หรือมีรายได้ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่ารายได้อาจไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ และค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง

"รวมทั้งยอดจำหน่ายสินค้าของเราไตรมาสนี้ทั้งซีเมนต์ลดลง เพราะในประเทศก็ไม่ดีแล้วรวมทั้งวัสดุก่อสร้างด้วย กระดาษก็โตแค่ 1% มีเพียงปิโตรเคมีที่ยอดขายเพิ่มแต่ก็เล็กน้อย ทำให้เราต้องหันไปเพิ่มการส่งออกมากขึ้น โดยไตรมาส 2 เราส่งออก 33-34 % ของรายได้ทั้งหมด จากที่เคยส่งออกเพียง 31% และเมื่อคิดเป็นยอดขายสกุลเงินดอลลาร์มียอดขายเพิ่มขึ้น 13% แต่เมื่อกลับมาคิดเป็นสกุลเงินบาทโตเพียง 3% ทำให้ประเมินยอดขายในปีนี้อาจโตเพียง 2-3% " นายกานต์กล่าว

นายกานต์ กล่าวถึง คืบหน้าการลงทุนที่ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นธุรกิจโรงงานกระดาษ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.2 แสนตันต่อปี ว่า ขณะนี้ยังเดินหน้าตามแผน โดยบริษัทได้เปิดทางให้ "เรงโกะ" จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้น 30% บริษัทจึงเหลือหุ้นที่ถือเพียง 70% ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศกัมพูชา คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4 ปีนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าที่ กัมพูชา คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 450 ล้านบาท และจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 4 เมกะวัตต์ และการลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลการลงทุน

นายกานต์ กล่าวต่อว่า การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท โดยบริษัทได้ประกันความเสี่ยงโดยการชำระเงินค่าเครื่องจักรล่วงหน้า ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้ทั้งหมด 9.52 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากสิ้นปีที่ผ่านมา ที่มีหนี้อยู่ที่ 1.03 แสนล้านบาท โดยหนี้ทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาท ส่วนเรื่องการออกหุ้นกู้ บริษัทมีครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ในเดือนพฤศจิกายน 1 หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้เพิ่มทั้งหรือน้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากที่เมื่อเมษายนที่ผ่านมาบริษัทได้ออกหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท

"และไตรมาสนี้ เราบันทึกรายได้จากการขายเงินหุ้นของ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC จำนวน 3% จากที่ถืออยู่หุ้นหมด 8% ประมาณ 1.2 พันล้านบาท และจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3 อีก 1.8 พันล้านบาท " นายกานต์กล่าว

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมียอดขาย 63,612 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 8,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 16% เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ มีกำไรจากการขายเงินลงทุนบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด และ ATC คิดเป็นเงินประมาณ 2.4 พันล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 6.37 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14% เนื่องจากราคาวัตถุดิบของเคมีภัณฑ์ปรับสูงขึ้น ประกอบค่าเงินบาที่แข็งค่า รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่ายกระดาษ

โดยครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 128,949 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 17,028 ล้านบาท ลดลง 1% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท หรือลดลงประมาณ 13% เป็นผลมาจากในช่วงครึ่งปีแรกปี 49 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงสถานะในเงินลงทุนของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด หรือ (BST) ประมาณ 1.4 พันล้านบาท ประกอบกับค่าเงินบาทที่สูงขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกลดลง

นอกจากการที่บริษัท ระยองโอเลฟินส์ หรือ ROC ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ทำให้ไม่ต้องจ่ายภาษี 15% นั้น ก็หมดลงแล้ว ก็ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ SCC

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทก็ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งแรกปี 50 ที่ระดับ 7.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเฉพาะที่มีสิทธิรับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 8 สิงหาคม 50 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 22 สิงหาคม 50


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.