ทางการได้ประมาณการตัวเลขการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรือการ์เม้นต์ในปีนี้ว่าจะมียอดประมาณ
76,000 ล้านบาท มันเป็นตัวเลขที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมนี้มีความหมายที่สำคัญที่สุด
ต่อการสร้างรายได้ประชาชาติของไทย
อุตสาหกรรมนี้มีรากฐานในเชิงพัฒนาการมาประมาณ 4 ทศวรรษเท่านั้น ซึ่งนับว่าไม่ยาวนักเมื่อเทียบกับเกาหลีและญี่ปุ่นที่มีมาก่อนหน้านี้หลายสิบปี
จรินทร์ ติรชัยมงคลแห่งกลุ่มไทยเกรียง สุกรี โพธิตัตนังกูรแห่งกลุ่มไทยเมลลอนและกลุ่มบริษัทสิ่งทอญี่ปุ่นเทยิ่น
เป็นนักบุกเบิกรุ่นแรกๆ ของอุตสาหกรรมนี้ ก่อนที่จะเติบโตตามแรงผลักดันของตลาดอินโดจีนที่อยู่ในสงครามของทศวรรษที่
60 หลังจากนั้นมาการแตกตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป และสิ่งทอที่เน้นการส่งออก
เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดเอเซีย และยุโรปที่กำลังเผชิญกับค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นจากผลกระทบของวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันแพง
ทำให้ต้องเปลี่ยนฐานการผลิตเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าก็เกิดขึ้น
กลุ่มบริษัทที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ตัวอย่างเช่นบริษัทเสื้อผ้าสำเร็จรูปยักษืใหญ่อย่างกลุ่มสแตนดาร์ดการ์เม้นต์ของยอดยิ่ง
เอื้อวัฒนสกุลและไทยรุ่งเท็กไทล์ของบุญนำ บุญนำทรัพย์
เวลานี้อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยเติบโตด้านปริมาณอย่างแข็งแกร่ง
มีบริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ๆมากรายขึ้น เช่นซีด้าการ์เม้นต์ของอาจารี หอมเศรษฐีซึ่งส่งออกไปยังตลาดหลักที่ญี่ปุ่น
"แต่การผลิตของเรายังจำกัดตัวเองอยู่เพียงการรับจ้างผลิตตามแบบและสเป็กของผู้ซื้อ
เรายังไม่สามารถพัฒนาไปสู่การผลิตด้วยแบบและสเป็กของเราเอง" บุญนำเคยกล่าวยอมรับกับ
"ผู้จัดการ"
รูปแบบการผลิตที่จำกัดตัวเองเป็นแค่รับจ้างผลิต ตามคำสั่งซื้อของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป
ว่าไปแล้วก็เหมือนกับอีกหลายอุตสาหกรรมที่มียอดการส่งออกสูง ของไทยเช่นอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนซึ่งทั้งหมดรับจ้างประกอบให้ผู้ซื้อในต่างประเทศตามสเป็กและแบบที่ผู้ซื้อกำหนดมา
"เรายังไม่สามารถพัฒนาด้วยตัวเองไปสู่การออกแบบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
สิ่งนี้คือเหตุผลสำคัญที่ผมต้องเข้าซื้อกิจการบางส่วนของไทร์คอมมิวนิเคชั่นในยุดรปและโตรอนโตซึ่งมีบริษัทวิจัยและพัฒนารวมอยู่ด้วย"
ศิวะ งานทวีแห่งกลุ่มงานทวีพี่น้อง เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" เพื่อเป็นหนทางออกในความพยายามที่จะดิ้นรนให้อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ประเภทคีย์โฟนซิสเต็มสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
ด้านการออกแบบอุตสาหกรรมอัญมณีก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกันแม้มีส่งออกสูงมากแต่อุตสาหกรรมนี้ก็ยังจำกัดอยู่เพียงการส่งออกพลอยร่วงเป็นส่วนใหญ่
พูดอีกแบบหนึ่งก็คือยังไม่สามารถส่งออกพร้อมตัวเรือนได้
"จุดใหญ่ คือ เรายังสู้ต่างประเทศไม่ได้ในด้านการออกแบบแม้ว่าฝีมือการเจียระไนเราจะดีมากก็ตาม
อาจจะมีบางรายที่ส่งออกพร้อมตัวเรือนแต่เข้าใจได้ว่านั่นเป็นเพียงแค่รับจ้างเจียระไนและประกอบเข้าตัวเรือนตามแบบและสเป็กของผู้ซื้อเท่านั้น"
ผู้ส่งออกอัญมณีรายใหญ่เล่าให้ฟัง
การขาดแคลนเทคโนโลยีด้านการออกแบบในผลิตภัณฑ์กล่าวถึงที่สุดแล้ว มันคือที่มาของรากฐานที่เปราะบางของอุตสาหกรรมการส่งออกของไทยในช่วงทศวรรษจากนี้ไป
หลังจากเสพสุขอยู่กับความได้เปรียบในด้านค่าจ้างแรงงานต่ำมากว่า 3 ทศวรรษ
"เราอยากภูมิใจในการเติบโตของมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เราสร้างมาเองแล้งตลาดยอมรับมากกว่าการเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนค่าจ้างราคาถูก"
ศิวะ งานทวีกล่าวถึงอุดมคติของเขา ในการสร้างอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก
ธุรกิจที่มีความใหญ่ขนาดอุตสาหกรรมย่อมมีความฝันที่จะมีที่นั่งของตัวเองในใจของลูกค้าในตลาดโลก
ตรรกะของสิ่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับความฝันของนักออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงของไทย
ที่มุ่งมั่นว่าสักวันหนึ่งตนเองจะได้มีโอกาสแสดงผลงานในงานแฟชั่นโชว์ที่ปารีส
มิลานและโตเกียวซึ่งเป็นตลาดแฟชั่นเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลก
เหมือนดังที่ อิเส่ มิยาเกะ โยจิ ยามาโมโต้ เคนโซ่ ทาคาดะ และฮานาเอะ โมริ
นักออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงชาวญี่ปุ่นที่สามารก้าวเข้าไปมีบทบาทสำคัญในธุรกิจแฟชั่นของตลาดที่นั่นมาแล้วตั้งแต่ปี
1965 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
"ฝีมือออกแบบพวกเราไม่แพ้ญี่ปุ่น แต่เราไม่มีองค์ประกอบความพร้อมด้านการส่งเสริม
จุดนี้ทำใก้นักออกแบบญี่ปุ่นไปได้เร็วกว่าเราขณะที่เราหากินได้เฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น"
สมชาย แก้วทองหรือคุณไข่ แห่งห้องเสื้อ แฟชั่นระดับสูงไข่บูติคเล่าให้ฟังถึงสวาเหตุการก้าวสู่ตลาดแฟชั่นโลกของนักออกแบบญี่ปุ่น
สมชาย แห้วทองเป็นนักออกแบบเสื้อแฟชั่นชั้นสูงที่มีผลงานมายาวนาน 20 ปี
เป็นเจ้าของยี่ห้อง "ไข่" (KAI) ที่จำหน่ายในห้องเสื้อของเขามากที่สุดในบรรดาดีไซเนอร์ชั้นนำของประเทศถึง
4 แห่งที่ชาญอิสระทาวเวอร์ เวิลด์เทรดเซนเตอร์ ราชดำริและสุขุมวิท 39 "ตลาดผู้ซื้อของเราเป็นคนไทยในกรุงเทพฯที่มีฐานะดี
พันจากกรุงเทพฯไปแล้วก็แทบจะไม่มีใครรู้จักยี่ห้อนี้แล้ว" สมชายพูถึงตลาดของเขา
เมื่อ 2 ปีก่อน ห้างสรรพสินค้าเซบุที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นเคยนำผลงานเสื้อผ้าชุดเดินเล่นภายใต้ยี่ห้อของเขาไปวางขายถึง
4เที่ยว มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท แต่เพราะเขาขาดผู้จัดการธุรกิจทำให้เสื้อผ้าของเขาขายได้ในวงจำกัด
และในที่สุดทางห้างเซบุก็ยุติการสั่งซื้อเสื้อผ้าของเขา
กระนั้นก็ตามก็นับว่าเขาเป็นดีไซเนอร์คนไทยคนแรกที่สามารถนำผลงานไปขายถึงตลาดห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นขณะที่คนอื่นดูจะไปไม่ถึง
ว่ากันจริงแล้ว ดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้าของไทยมีไม่มากนัก แบ่งได้ออกเป็น
4 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นดีไซเนอร์ที่มีประสบการณ์ทั้งผ่านการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์และดูงานในปารีสมาแล้ว
ที่มีชื่อเสียงอยู่ในเวลานี้เช่น สมชาย แก้วทอง พิจิตรา บุญตัตน์พันธ์ พีรพรรณ
วรรณรัตน์ กีรติ ชลสิทธ์ ศิระ กุลเศรษฐศิริ นคร สัมพันธรักษ์ แพททริก บูยาเก้
เป็นต้น
ดีไซน์เนอร์กลุ่มนี้เป็นที่ยอมรับของตลาดว่าเป็นดีไซเนอร์ชั้นนำของประเทศ
เสื้อผ้าแต่ละชุดของเขาจะมีการดัดแปลงแบบจากดีไซเนอร์ชื่อดังของต่างประเทศและวางจำหน่ายในห้องเสื้อของพวกเขาเองเท่านั้น
ไม่มีวางขายตามห้าง
กลุ่มสอง เป็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีประสบการณืผ่านการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์จากฝรั่งเศสแล้วกลับมาออกแบบสร้างงานเองเช่นห้องเสื้อพรีเซ้นต์
ไทม์เอ็น และการิต้าโฮลเซล
ดีไซเนอร์กลุ่มนี้จะมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่มีอำนาจซื้อรองลงมาจากกลุ่มแรก
กลุ่มสาม เป็นดีไซเนอร์ลูกเศรษฐีที่มีเงินทุนมากพอที่จะจ้างดีไซเนอร์มาสังกัดเพื่ออกแบบภายใต้ยี่ห้อของตัวเองเช่นห้องเสื้อจีน่า
และเวนิค
ดีไซเนอร์กลุ่มนี้บางคนก็มีความรู้ด้านการออกแบบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมืออาชีพ
เพียงแต่ที่ลงมาลงทุนก็เพราะใจรักการแต่งรัวเป็นพื้นฐานและมีหัวทางธุรกิจ
กลุ่มสุดท้าย เป็นดีไซเนอร์ที่ผ่านการศีกษาด้านการออกแบบจากสถาบันในประเทศ
เช่น ศิลปากร เพาช่าง วิทยาลัยครู แล้วเข้าสังกัดเป็นนักออกแบบประจำบริษ์การ์เม้นต์
ดีไซเนอร์กลุ่มนี้จะออกแบบเพื่อตอบสนองการผลิตขนาดใหญ่จำหน่ายในประเทศ
เช่นกลุ่มดีไซเนอร์ของบริษัทฟายนาวเจ้าของยี่ห้อฟายนาวที่มีชื่อสเยงในตลาดห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
การเลื่อนขั้นขึ้นมาอยู่แถวหน้าของดีไซเนอร์เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักเพราะผงงานต้องมีคุณภาพเป็นระดับแฟชั่นชั้นสูงจริงๆ
"การไต่อันดับขึ้นมาอยู่แถวหน้าของดีไซเนอร์กลุ่มแรกได้ผลงานของตัวเองต้องเป็นที่ยอมรับของกลุ่มบุคคลชั้นนำเช่นพวกนักแสดงที่มีชื่อเสียง
และบุคคลในแวดวงสังคมชั้นสูงและราชวงศ์" ศิระ กุลเศรษฐศิริ ดีไซเนอร์ชื่อดังพูดถึงเงื่อนไขการก้าวสู่การเป็นดีไซเนอร์ชั้นนำของประเทศ
กลุ่มบุคคลชั้นนำเหล่านี้เป็นพวกมีอำนาจซื้อสูงและมีชื่อเสียงในสังคม การแต่งตัวหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งบทบาทการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขาอยู่ในความสนใจของคนทั่วไป
ดังนั้นการแสดงออกในด้านการแต่งตัวจึงสะท้อนออกมาตามค่านิยมด้วยมาตรฐานที่คนทั่วไปไม่สามารถดำเนินตามได้
"พวกเขาสามารถลงทุนแต่งตัวใส่เสื้อผ้างามๆที่มีอยู่ตัวเดียวในเมืองไทยด้วยราคาเหยียบแสนบาทได้เพียงเพื่อให้ตัวเองดูสง่างาม
กว่าคนอื่น" ศิระกล่าวถึงการลงทุนแต่งตัวของบุคคลชั้นนำที่เป็นลูกค้าของเขาซึ่งบางคนประกอบอาชีพเป็นนักแสดง
พิธีกร นักบริหาร นางแบบ
ศิระหรือโอ เป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าเจ้าของห้องเสื้อแคเร็คเตอร์ ที่ประสบความสำเร็จรวดเร็วมากเพียง
3 ปี ก็ก้าวมาอยู่แถวหน้า เขาจบการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์จากสถาบัน ESMOD
ในปารีส ก่อนหน้าที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจดีไซเนอร์เสื้อผ้า เขามีชื่อเสียงมากในฐานะการเป็นดีไซเนอร์ด้านการแต่งหน้า
ซึ่งว่าไปแล้วความสำเร็จจากการเป็นนักออกแบบการแต่งหน้านี้เองเป็นแรงส่งหนุนให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในด้านการออกแบบเสื้อผ้า
ศิระเป็นดีไซเนอร์รุ่นน้องสมชายหลายปี แม้จะมีชื่อเสียงในตลาดในประเทศ
แต่ต่างประเทศแล้วยังไม่เป็นที่รู้จัก
เขาไม่เคยได้มีโอกาสแสดงผลงานแฟชั่นโชว์ในต่างประเทศเหมือนสมชาย ผลงานการออกแบบได้รับอิทธิพลจากงานของอิเส่
มิยาเกะ และจิอา ฟรังโก้ เฟอร์เล่ย์หัวหน้ากลุ่มดีไซเนอร์ของห้องเสื้อคริสเตียน
ดิออร์ในปารีส ซึ่งเขากล่าวว่างานของดีไซเนอร์ทั้งสองมีการผสมผสานระหว่างลักษณะทางตะวันตกและตะวันออกอย่างกลมกลืน
(ORIENTALISM) เป็นแบบเพาะของตัวเอง ซึ่งจุดนี้สอดคล้องกับค่านิยมการออกแบบของเขาที่ชอบความทะมัดทะแมงกระฉับกระเฉงและสีสันที่เน้นความเป็นตัวของตัวเองสูงมากกว่าความอ่อนหวาน
"เป็นความจริงที่เรายอมรับกันว่าผลงานการออกแบบไม่ใช่เกิดจากตัวเองล้วนๆ
การสร้างสรรค์มันอยู่ที่การรู้จักประยุกต์ดัดแปลงผลงานของดีไซเนอร์ต่างประเทศที่เราชื่นชอบให้เข้ากับค่านิยมเฉพาะตัวมากกว่า"
ศิระเล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังการออกแบบของดีไซเนอร์ชั้นนำของไทย
การรู้จักดัดแปลงในงานออกแบบให้เข้ากับค่านิยมเฉพาะตัวว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับธุรกิจแฟชั่นดีไซน์
ในต่างประเทศที่เป็นศูนย์กลางการออกแบบเสื้อของโลก งานของดีไซเนอร์ที่โชว์ออกมาในคอลเล็คชั่นต่างๆ
มีอิทธิพลต่องานออกแบบของกันและกันเสมอ
ยกตัวอย่างเวลานี้ในปารีสและมิลาน ผลงานของดีไซเนอร์ญี่ปุ่นกำลังมีอิทธิพลสูงมาก
โรเมโอจิการี่ดีไซเนอร์ชื่อดังของอิตาลีกล่าวยอมรับว่า"งานของดีไซเนอร์ญี่ปุ่นกำลังเปิด
ทิศทางการออกแบบให้แก่พวกเขาด้วยผลงานที่เน้นการผสมผสาน ระหว่างตะวันตกกับตะวันออกได้อย่างตื่นตาตื่นใจ"
เช่นนี้แล้ว ประเด็นที่ว่าแล้วผลงานของดีไซเนอร์ไทยจะมีโอกาสไปโชว์และมีอิทธิพลต่อดีไซเนอร์ฝรั่งตะวันตกเหมือนที่ญี่ปุ่นกำลังทำอยู่ทุกวันนี้ได้หรือไม่
และมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะนำไปสู่จุดนั้น
ประเด็นนี้คือรอยฝันของดีไซเนอร์ไทยทุกคน
สมชายหรือคุณไข่ ดีไซเนอร์ชั้นนำระดับอาวุโส ทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์กล่าวว่าฝีมือการออกแบบของอีไซเนอร์ทั่วโลก
ว่าไปแล้วเรื่องความคิดสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดออกมาในแบบเสื้อมีความสามารถต่างกันไม่มากหรอก
แต่ที่ทำให้ผลมันดูต่างกันก็เพราะว่าโอกาศและโครงสร้างของธุรกิจนี้มันก้าวหน้าต่างกัน
โอกาสที่สมชายกล่าวถึง หมายถึงกระบวนการนำเสนอผลงานสู่ตลาดที่มีระบบแบบแผนระดับมืออาชีพ
ทุกวันนี้ ดีไซเนอร์ไทยจะมีผลงานนำเสนอผลงานสู่ตลาดเฉลี่ยกันปีละ 1-2 คอลเล็คชั่นหรือประมาณ
1-200 ชุด การนำเสนอแต่ละครั้งจะอยู่ในรูปแบบการแสดงแฟชั่นโชว์ที่ต้องลงทุนเองเป็นส่วนใหญ่
"อย่างน้อยครั้งละไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายค่าตัวนางแบบ
เสื้อผ้า" อรนภา กฤษฏี นางแบบชื่อดังกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ในต่างประเทศที่ญี่ปุ่นหรือยุโรป ดีไซเนอร์ไม่ต่องเข้ามายุ่งในด้านการจัดงานแสดงเลยทุกอย่างแม่แต่ค่าใช้จ่ายในการจัดโชว์อยู่ที่ทีมงวานฝ่ายจัดการของบริษัท
และครอริโอกราฟเฟอร์
ดีไซเนอร์มีหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้นคือผลิตเสื้อผ้าออกมาโชว์ให้ดีที่สุด
ทีมงานฝ่ายจัดการและครอริโอกราฟเฟอร์จะทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลต่อกิจการแฟชั่น
แขกรับเชิญที่มีชื่อเสียกลุ่มลูกค้า นางแบบ รวมถึงแก่นสารของรูปแบบในการนำเสนอบนเวที
เมื่อ 4-5 ปีก่อนบุรณี รัชไชยบุญ ได้เคยเปิดธุรกิจนี้ขึ้นมาแล้วในนามบริษัทแบ็คเสต็จ
แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมใช้บริการจากดีไซเนอร์
การนำเสนอผลงานยองดีไซเนอร์ไทยส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงระบบเช่นที่ว่านี้เพราะ
หนึ่ง- ธุรกิจแฟชั่นดีไซน์บ้านเรายังอยู่ในรูปของครอบครัวที่การลงทุน และบริหารทุกอย่างอยู่ที่ตัวดีไซเนอร์ไม่มีผู้จัดการระดับมืออาชีพที่กระจายความรับผิดชอบตามแผนกงานต่างๆ
เช่นการตลาด
ดีไซเนอร์ไทยไม่มีข้อมูลที่จะล่วงรู้ถึงแนวโน้มความนิยมของแบบเสื้อในตลาดล่วงหน้าได้เพราะไม่มีผู้จัดการที่จะนำข้อมูลจากตลาดมาเป็นเครื่องชี้
การออกแบบจึงอาศัยค่านิยมส่วนตัวของดีไซเนอร์เองมากกว่าตลาด
นอกจากนี้การนำผลงานเสนอสู่ตลาดก็ขาดผู้จัดการที่จะทำหน้าที่วิางเต้นส่งเสริมสู่สถาบันทางการตลาดที่เกี่ยวข้อง
"บริษัทการ์เม้นต์ใหญ่ๆ บ้านเราไม่มีรายไหนสนใจที่จะลงทุนหรือสนับสนุนอาชีพแฟชั่นดีไซน์อย่างจริงจัง
ซึ่งต่างจากญี่ปุ่นบริษัทการ์เม้นต์ยักษ์ใหญ่อย่างอิโตกิ ลงทุนให้ฮิโรโกะ
โคชิโน่ดีไซเนอร์ชื่อดังของญี่ปุ่นในการนำเสนอผลงานสู่มิลาน ปารีสมาแล้ว"
สมชายกล่าวถึงจุดเสียเปรียบของดีไซเนอร์ไทย
ฮิโรโกะโคชิโน่เป็นดีไซเนอร์ที่เมื่อ 10 ปีก่อนไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่น
แต่เมื่อได้รับการสนับสนุนจากบริษัทอิโตกิน ทำให้เขามีโอกาสเข้าถึงสื่อมวลชนแฟชั่นที่มีอิทธิพลในมิลาน
จนได้รับการต้อนรับให้แสดงผลงานแฟชั่นโชว์มิลานคอลเล็คชั่นจนมีชื่อเสียงได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและอิตาลี
ปัจจุบันนี้โคลิโน่เป็นหนึ่งในสิบของกรรมการผู้จัดแสดงแฟชั่นดชว์โอซาก้าคอลเล็คชั่นที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจแฟชั่นเสื้อฟาของญี่ปุ่น
มีรายได้อย่างมากมายจากการขายลิขสิทธิ์แบบเสื้อให้บริษัทการ์เม้นต์ต่างๆ
ทั่วโลก เหมือนกับอิเส่ มิยาเกะที่ขายลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า SERPENT
BLADW OF GRASS FLOWERS INSECTS BIRDS MOONLIGHT ให้บริษัทการ์เม้นต์ทั่วโลกมีรายได้ปี
2532 ถึง 60 ล้านเหรียญ
บริษัทอิโตกินเป็นบริษัทการ์เม้นต์ที่ซื้อลิขสิทธ์แบบและเครื่องหมายการค้าจากโคชิโน่มากผลิตสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปวางขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก
แม้แต่ในประเทศไทยบริษัทไอซีซีเครือสหพัฒน์ก็ซื้อลิขสิทธิ์มาตัดเย็บและวางขายในประเทศภายใต้ยี่ห้ออิโตกินด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อมองเฉพาะส่วนแล้วสมชายยอมรับว่าแนวโน้มการนำเสนอผลงานของดีไซเนอร์บางคน
เริ่มได้รับการจัดการจากบริษัทรับจัดการมืออาชีพมากขึ้น
เท่าที่ทำอยู่เวลานี้คือบริษัทคูโด้ของทินกร อัศวารักษ์ ประกายวิลที่กำลังจะรับจัดการนำเสนอผลงานคอลเล็คชั่นใหม่ของศิระ
กุลเศรษฐศิริในปีนี้และบริษัทลติจูดที่รับจัดการนำเสอนผลงานคอลเล็คชั่น "สร้างฝันมาพันร่าง"
ของสมชาย แก้วทอง เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งพ้นมา
ธุรกิจรับจัดการแสดงหรือครอริโอการาฟฟี่กำลังเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากในเวลานี้
เหตุผลที่สำคัญอาจมาจากผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ เริ่มเห็นความสำคัญของการนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ตลาดมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ เปิดตัวสนามกอล์ฟ คอนโดมิเนียม
"งานแสดงคอลเล็คชั่นสร้างฝันมาพันร่าง บริษัทละติจูดเป็นคนดำเนินการทุกอย่างแม้แต่เรื่องจัดหานางแบบ"
สมชายกล่าวถึงเบื้องหลังการนำเสนอผลงานคอลเล็คชั่นล่าสุดของเขา
สอง-ทัศนคติของดีไซเนอร์ส่วนใหญ่ชอบทำงานตัวคนเดียวแบบศิลปิน ไม่มีหัวการบริหารงานยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดเรื่องการจัดหานางแบบ
ตามปกติแล้ว การจัดหานางแบบดีไซเนอรทั่วไปมักจะติดต่อนางแบบเองโดยตรงเพราะส่วนใหญ่รู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้ว
ตัวนางแบบเองก็ชอบที่จะทำงานในลักษระเช่นนี้เพราะอย่างน้อยที่สุดค่าตัวเดินแบบครั้งละ
4,000 บาทก็เข้ากระเป๋าเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นางแบบในต่างประเทศ การเดินแบบแต่ละครั้งต้องผ่านบริษัทโมเด็ลลิ่งเอเยนซีซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้จัดการหางานมาป้อนให้
"ธุรกิจแบบนี้เมืองไทยเกิดยากเพราะนางแบบไม่ยอมรับ เคยมีความพยายามที่จะทำมาแล้วแต่ไม่สำเร็จ"
อรนภา กฤษฏี นางแบบชื่อดังเล่าให้ฟังถึงอดีตที่เธอร่วมกับเพื่อนนางแบบและดีไซเนอร์สมชาย
แก้วทอง พยายามที่จะก่อตั้งบริษัทดมดาขึ้นมาแต่ล้มเหลวลง
และบทเรียนสิ่งนี้คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นระบบในการทำงานของคนี่เกี่ยวข้องในธุรกิจแฟชั่นดีไซน์ของไทย
รอยฝันที่ยังขรุขระของดีไซเนอร์ไทยในอันที่จะก้าวสู่นานาชาติ นอกเหนือจากอุปสรรคของด้านการนำเสนอผลงานสู่ตลาดแล้ว
อุปสรรคด้านโครงสร้างการผลิตที่ยังล้าหลังไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตผลงานแฟชั่นชั้นสูงที่มีคุณภาพ
ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ดูจะเสียเปรียบกว่าดีไซเนอร์ของญี่ปุ่น
อุตสาหกรรมสิ่งทอญี่ปุ่นมีพัฒนาการที่ยาวนานมาก่อนไทยมาก การวิจัยเทคโนโลยีสิ่งทอของญี่ปุ่นกลไกสำคัญของการสร้างอุตสาหกรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนของสิ่งทอเช่นด้ายที่มีคุณภาพสูง
"ผ้าต่วนและผ้าทราฟต้าหรือผ้าที่ใช้สำหรับงานกลางคืน ไทยผลิตเองไม่ได้
ต้องซื้อจากญี่ปุ่นในราคาแพง แม้แต่ผ้าซับในที่ทอจากผ้าไหม ต้องซื้อจากญี่ปุ่นของไทยมีแค่ฟ้าซับในที่ทำด้วยโพลีเอสเตอร์"
สมชาย ยกตัวอย่างคุณภาพสิ่งทอไทยที่ไม่สามารถนำมาใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงได้
ผ้าไหมไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าคุณภาพสิ่งทอไทยยังไปไม่ถึงไหน
ผ้าไหมไทยได้รับการส่งเสริมจากจิมป์ ทอมสัน สู่ตลาดโลกเมื่อกว่า 20 ปีก่อน
แต่เนื่องจากขาดการพัฒนาด้านเทคนิคทำให้ฟ้าไหมไทยจำกัดอยู่ในวงแคบ ของการนำมาใช้ในฐานะเป็นสินค้าที่มีความนิยมในการใช้ประดับกับเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือน
ไม่สามารถพัฒนาไปสู่คุณภาพที่สามารถใช้เป็นวัสดุเพื่อการผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงได้
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งผ้าฝ้ายของบ้านไร่ไผ่งามที่เชียงใหม่ นักอุตสาหกรรมสิ่งทอบ้านเราไม่เคยสนใจที่จะพัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุเพื่อการผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูง
ตรงข้ามกับนักพัฒนาสิ่งทอญี่ปุ่นสามารถนำเอาผ้าฝ้ายของไทยเราจากบ้านไร่ไผ่งามนี้ไปพัฒนาโดยมีเนื้อไหมเจือปนจนมีคุณภาพสูงกว่า
"ฮิโระโกะ โคชิโน่ เป็นคนนำผ้าฝ้ายจากแหล่งนี้ไปให้นักวิจัยสิ่งทอญี่ปุ่นพัฒนา
และก็ได้เอามาใช้ทำเป็นเสื้อไฮแฟชั่นวางขายตามห้องเสื้อชั้นนำทั่วโลก"
ตลาดเสื้อผ้าไฮแฟชั่นในปารีส นิวยอร์ก มิลานและโตเกียวมันเป็นตลาด ของดีไซเนอร์ที่ทำงานอย่างมืออาชีพคุณภาพสูงและมีความพร้อมในองค์ประกอบของการทำงานที่มีระเบียบแบบแผน
เพราะการที่ดีไซเนอร์จะสามารถนำผลงานการออกแบบไปโชว์สู่ตลาดนานาชาติระดับสูงได้
คุณภาพการตัดเย็บและวัสดุที่ใช้แม้กระทั่งเส้นด้ายต้องได้ตามสเป็กมาตรฐานระดับโลก
"ผมบอกตามตรงฝีมือช่างตัดเย็บไทย ช่างแพทเทิสน์ที่มีอยู่ยังไม่ถึงขั้นแม้ดีไซเนอร์จะมีความสามารถออกแบบได้ดีขนาดไหน"
สมชายเล่าให้ฟังถึงข้ออุปสรรคด้านการตัดเย็บ
เขากล่าวว่า เคยลงทุนซื้อเสื้อยี่ห้อดังของฝรั่งเศษด้วยราคาแพงสุดมาแกะดูเป็นชิ้นๆ
เพื่อศึกษาเทคนิคการตัดเย็บ ซึ่งในที่สุดก็ยอมรับว่าทุกขั้นตอนของการตัดเย็บไม่ว่าจะเป็นการอัดผ้ากราวเพื่อให้อยู่ตัวการเข้าวงแขน
เป็นเทคนิคชั้นสูงที่ช่างตัดเย็บไทยต้องเรียนรู้และฝึกฝนกันใหม่หมด
สมชายเล่าให้ฟังว่าเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงของดีไซเนอร์ชั้นนำของโลกมีเบื้องหลังการทำงานที่เป็นระบบทีมเวอร์กที่เยี่ยมยอดมาก
การออกแบบแต่ละคอลเบ็คชั่นจะมีการปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดระหว่างดีไซเนอร์กับช่างเทคนิคด้านต่างๆเพื่อหาจุดที่ลงตัวของไอเดียดีไซเนอร์
ตั้งแต่การเดรฟเสื้อไปจนถึงการจัดหาเครื่องประดับทุกชิ้น
กระบวนการทำงานแบบนี้ต่างกับดีไซเนอร์ไทยหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะทุกขั้นตอนของการผลิตเสื้อผ้าในแต่ละคอลเล็คชั่น
ดีไซเนอร์ไทยต้องจัดหาวัสดุ ควบคุมการตัดเย็บและการหาเครื่องประดับแต่ละชิ้นด้วยตนเองตลอด
"การจัดแฟชั่นโชว์แต่ละครั้ง เราต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อหาซื้อวัสดุทุกชิ้นมาใช้ตัดเย็บ
และประดับในแบบเสื้อของเราเพราะวัสดุเกือบทุกอย่างที่ใช่สำหรับเสื้อไฮแฟชั่นบ้านเราผลิตเองไม่ได้"
สมชาย สะท้อนภาพความยากลำบากในการทำงานของ ดีไซเนอร์ไทยที่ได้รับผลมาจากโครงสร้างที่ยังด้อยคุณภาพของอุตสาหกรรสิ่งทอไทยและการขาดแคลนช่างเทคนิคด้านการตัดเย็บคุณภาพสูง
ความล้าหลังด้วยสาเหตุนี้ ว่าไปแล้วเป็นรากฐานที่เหนี่ยวรั้วงศักยภาพของดีไซเนอร์ที่จะได้มีโอกาสก้าวสู่ตลาดแฟชั่นชั้นสูงในตลาดนานาชาติ
การที่จะก้าวสู่ตลาดปารีสหรือมิลานได้ ต้องผ่านงานโอซาก้าคอลเล็คชั่นและโตเกียวคอลเล็คชั่นก่อนเพราะตลาดทั้งสองเปรียบเสมือนประตูที่เปิดสู่การยอมรับในปารีส
นิวยอร์กและมิลานที่มีอิทธิพลของโลก
สำหรับดีไซเนอร์อาเซียนแล้ว ถึงทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้
ซึ่งรากฐานของอุปสรรคมาจากสาเหตุอันเดียวกันนั่นคือ การขาดแคลนช่างเทคนิคที่มีความรู้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า
แฟชั่นชั้นสูงและความล้าหลังของการผลิตวัสดุสิ่งทอคุณภาพสูง
เช่นนี้แล้ว รอยฝันของดีไซเนอร์ไทยจะเป็นไปได้อย่างไร
ศิระ สมชายและอรนภา ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้ามานานให้ข้อสรุปที่สอดคล้องกันว่ามี
2 หนทางเท่านั้นคือ หนึ่ง-ต้องขึ้นอยู่กับดวงว่าดีไซเนอร์คนไหนจะโชคดีถูกซื้อตัวไปเป็นดีไซเนอร์ในสังกัดบริษัทแฟชั่นชั้นนำของโลกในปารีส
หรือนิวยอร์ก หรือมิลานเหมือนบริาทคริสเตียน ดิออร์ ซื้อจิอาฟรังโก้ เฟอร์เล่ย์มาสังกัด
หรือสอง-นายทุนเจ้าของบริษัทการ์เม้นต์ที่มีฐานะร่ำรวยลงทุนสนับสนุนให้ดีไซเนอร์ไทย
ไปเปิดห้องเสื้อในเมืองศูนย์กลางของแฟชั่นโลกเช่นปารีส โตเกียว มิลาน หรือนิวยอร์กที่ใดที่หนึ่ง