|

หุ้นรูด7จุดรับข่าวลดด/บห่วงศก.ซบ-จับตา800จุด
ผู้จัดการรายวัน(19 กรกฎาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทยรูด 7 จุดรับข่าว กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา นักวิเคราะห์ชี้หากหลุด 850 จุดเข้ารอบปรับฐานจับตาไหลยาวแตะ 800 จุด คาดช่วงสิ้นปีตลาดหุ้นจะผันผวนหนักอีกครั้งเหตุปัญหาการเมืองยังไม่ยุติ ขณะที่ "มอร์แกน สแตนเรย์" ปรับเพิ่มรายได้กลุ่มปตท. 20-30% เหตุรายได้จากน้ำมันพุ่ง ด้านกิมเอ็งฯ ปรับราคาเป้าหมาย PTT มองไกล 370 บาท
ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (18 ก.ค.50) ดัชนีปรับตัวลดลงทันทีหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันอีก 0.25 % ประกอบกับตลาดหุ้นในต่างประเทศหลายแห่งปรับตัวลดลงส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 849.56 จุด ลดลง 7.35 จุด หรือ 0.86% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวัน ขณะที่จุดสูงสุดอยู่ที่ 864.76 จุด มูลค่าการซื้อขาย 24,608.97 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 146.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 89.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 235.72 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ดัชนีปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลมาจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากทางคณะกรรมการกนง. เปิดเผยว่าการปรับลดดอกเบี้ยเป็นผลมาจากความจำเป็นที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ประกอบกับปรับตัวลดลงตามตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ถ้าดัชนีปรับตัวลดลงมาในระดับที่ต่ำกว่า 850 จุด จะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นจะเกิดการปรับฐาน ซึ่งมองแนวโน้มว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเนื่องมาจากในขณะนี้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นเกี่ยวกับนโยบายการควบคุมการแข็งค่าของเงินบาทของทางภาครัฐที่ยังไม่มีความแน่ชัด ประกอบกับปัจจัยจากตลาดหุ้นในทวีปยุโรป โดยเฉพาะตลาดหุ้นของประเทศเยอรมันนี ที่ปรับลดลงอย่างรุนแรง
สำหรับการปรับตัวลดลงของดัชนีในช่วงนี้หากมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทต่อวัน ก็จะทำให้โอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 860 จุด ได้ค่อนข้างจะลำบาก โดยในรอบนี้การปรับฐานดัชนีอาจจะลดลงไปที่ระดับ 820 จุด หรือลดลงถึงระดับ 800 จุดได้
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 น่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ เพราะในช่วงไตรมาส 4 ของดัชนีอาจจะเกิดการปรับฐานอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน
ในส่วนการปรับลดดอกเบี้ยต่อไปในอนาคตนั้น นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ในเชิงทฤษฎีมีโอกาสที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 0.25% แต่ในเชิงปฎิษัติแล้ว อัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ในระดับสูง ทำให้มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีกค่อนข้างน้อยลง
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายวิจัย บล. บีฟิท กล่าวว่า การที่ดัชนีปรับตัวลดลงในวานนี้นั้น เนื่องมาจากในขณะนี้ตลาดไม่มีปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการปรับลดเงินบาทอีก 0.25% แต่ก็ไม่น่าจะช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และอาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อตามมาในภายหลัง ประกอบกับตลาดกำลังอยู่ในช่วงปรับฐานหลังจากที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากตั้งแต่ช่วงต้นเดือน
"ตอนนี้ราคาของหลักทรัพย์เต็มเกือบทั้งหมดแล้ว ทำให้ไม่แปลกที่หลังจากนี้ดัชนีจะมีการทะยอยลดลง ส่วนนักลงทุนต่างชาตินั้น มีแนวโน้มที่จะชะลอการลงทุน เนื่องมาจากต้องการดูว่ามาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะออกมาควบคุมค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร แต่มองว่าไม่น่าจะออกมาตรการที่รุนแรง"
ปรับเพิ่มรายได้กลุ่มน้ำมัน
นายธนัทเทพ จันทรกานณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า มอร์แกน สแตนเรย์ได้มีการปรับประมาณการกลุ่มพลังงานหลังรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเรื่องน้ำมันปีนี้อยู่ที่ 67 เหรียญ/บาเรล และค่าการกลั่นอยู่ 8 เหรียญสิงคโปร์ ขณะที่ราคาปิโตรเคมีมีส่วนต่างราคาต้นทุนและราคาขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐต่อตันจากเดิม 500 เหรียญต่อตัน ส่งผลทำให้กลุ่มบริษัทปตท. จะมีประมาณการณ์ราคาเพิ่มขึ้นได้อีก 20-30 %
"กิมเอ็ง"ปรับราคาเหมาะสมPTT
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้มีการปรับเป้าหมายราคาหุ้น ปตท. ใหม่ ไว้ที่ 370 บาท โดยมีปัจจัยมาจาก EPS ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 30 % จากปีก่อน 31 % มาอยู่ที่ 33 % ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มปตท.ทั้งกลุ่มจะมีรายได้เพิ่มขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมัน ปิโตเคมี ค่าการกลั่น และถ่านหินปรับตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่ากลุ่มปตท. มีการบริหารจัดการในด้านการผลิตที่ต่อเนื่องและชัดเจน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จึงทำให้ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก
สำหรับความเสี่ยงในเรื่องคดีศาลปกครอง กรณี ปตท. เชื่อว่าจะไม่รุนแรง เพราะปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้มีการแก้พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจ ให้มีการแยกทรัพย์สินให้ชัดเจน ซึ่งเหมือนเป็นการเปิดทางออกให้ศาลกรณีปตท.อาจจะทำให้ไม่ต้องออกจากตลาดหุ้น แต่ให้กลับไปแก้ไขโครงสร้างแทน โดยคิดจากมูลค่าของปตท. ที่ยังถูกล็อกอยู่ทำให้ยังไม่เห็นมูลค่าที่แท้จริง โดยก่อนหน้านี้บริษัทปตท. มีกำไรก่อนหักภาษี 3-4 เท่า ของปัจจุบัน แต่กลับมาเทรดในราคาที่ต่ำกว่ากลุ่มพลังงานเดียวกันในภูมิภาค ดังนั้นเมื่อรายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราคาก็น่าจะปรับตัวตามไปได้
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|