ททท.แหยงปีหน้าตลาดในโตแค่2%


ผู้จัดการรายวัน(18 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2551 ททท. จะชู 7 ธีมหลัก เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่จะนำเสนอในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ วิถีไทย หัวใจของแผนดิน(Thainess), มรดกแห่งแผ่นดิน(Treasures), หลากหลายทะเลไทย(Beaches) ,รักษ์ ห่วงใย ใส่ใจธรรมชาติ(Nature) ,สุขภาพนิยม (Health),ชีวิตร่วมสมัย ความสุขใจที่แตกต่าง(Trendy) และ เทศกาล ความสุข สีสันหรรษา(Fest&Fun) วางตำแหน่งทางการตลาดของประเทศไทย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับคุณภาพที่หลากหลายให้ประสบการณ์ และความประทับใจ โดยตั้งเป้าหมาย สร้างรายได้สำหรับตลาดต่างประเทศที่ 6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10% และมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 15.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6%

นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตอกย้ำแบรนด์ของประเทศไทย ชูความแตกต่างให้โดดเด่นเหนือคู่แข่งขัน โดยมีตลาดเป้าหมายคือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และตะวันออกกลาง โดยดำเนินการรักษาฐานตลาดเดิม ไปพร้อมกับบุกตลาดใหม่ เช่น เวียดนาม , ฟิลิปปินส์ , อินโดนีเซีย ,รัสเซียและCIS กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก และกลุ่มตะวันออกกลาง ส่วนนักท่องเที่ยวตลาดในประเทศ ตั้งเป้าหมายปีหน้าที่ 83 ล้านคนครั้ง เพิ่มขึ้น 1.23% เกิดรายได้หมุนเวียนในประเทศ 3.85 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% โดยกลยุทธ์ที่จะใช้ คือ กระตุ้นให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค สร้างกระแสให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เน้นการท่องเที่ยวในมิติของการเรียนรู้ และการรณรงค์ให้เกิดรู้ค่ารักษาแหล่งท่องเที่ยว

รายงานข่าว แจ้งว่า รายได้ที่ ททท.ตั้งเป้าในปี 2551 เป็นตัวเลขที่เติบโตน้อยเพียง 2% จากกรอบการจัดทำแผนที่หวังจะสร้างรายได้ให้เติบโตกว่า 4% ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้และการเน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มทัศนศึกษา

อย่างไรก็ตาม ทั้งตลาดต่างประเทศและตลาดในประเทศ ททท.ยังคงดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเช่นทุกๆปีที่ผ่านมา โดยจะร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชน เพื่อประหยัดการใช้งบประมาณ แต่ต้องได้ผลเทียบเท่าหรือดีกว่า เช่น กิจกรรมงานประเพณี กิจกรรมการกีฬา การจัดแข่งขัน และจัดประกวดต่างๆ

อาเซียนสดใสบุกตลาดใหม่ขยายฐาน

นายประกิตติ์ พิริยะเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้และแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า สำหรับตลาดนี้ ปี 2551 ตั้งเป้ารายได้ที่ 81,300 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ กว่า 9% และมีส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ 23% ของรายได้ทั้งหมดของ ททท. เติบโตกว่าปีนี้ ที่ตลาดนี้มีส่วนแบ่งรายได้ที่ 21% แผนการดำเนินงานจะทำตลาดเชิงรุก เจาะถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การจัดแฟมทริป เชิญสื่อจากต่างประเทศเข้ามาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยว โดยตลาดใหม่ๆ ที่จะรุกหนักมากขึ้น ได้แก่ เวียดนาม ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้ ททท.จะเปิดออฟฟิศสำนักงานที่เวียดนาม และปีหน้าจะเริ่มทำตลาด นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญกับตลาดรอง เพื่อมาเสริมกับตลาดหลัก อาทิ ฟิลิปปินส์ ,บรูไน , พม่า และกัมพูชา ซึ่ง ตลาดดังกล่าว ช่วง 1-2 ปีมีการเติบโตสูง เนื่องมาจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพดี มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยไม่แพ้นักท่องเที่ยวจากจีน และสิงคโปร์ คือเฉลี่ย 4,000 บาท ต่อวัน

สำหรับตลาดหลักอย่างออสเตรเลีย ปีหน้าก็จะเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมาย มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยได้ไม่น้อยกว่า 6 แสนคน เติบโตจากปีนี้กว่า 15% โดยมีแผนจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดการเดินทางตลอดทั้งปี เช่น จัดทำแพกเกจเสนอขายนักท่องเที่ยวกลุ่มเล่นกอล์ฟ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังจัดอบรมพนักงานขายให้แก่บริษัทนำเที่ยวให้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการนำเสนอขายแพกเกทัวร์

แนะททท.ดันไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา

ทางด้านภาคเอกชน นายพิษณุ กองกันภัย นายกสมาคมท่องเที่ยวอเมริกา แห่งประเทศไทย และเจ้าของธุรกิจบริษัทนำเที่ยว 24 Jan Travel จำกัด เปิดเผยว่า ได้เสนอให้ ททท. เร่งทำตลาดในอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากประเทศดังกล่าวเดินทางเข้ามาประเทศไทยตลอดทั้งปี ซึ่งสิ่งที่นักท่องเที่ยวจากตลาดนี้ต้องการสูงสุด คือคุณภาพสินค้าทางการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย นอกจากนั้น ยังต้องการให้ ททท. เร่งโปรโมทให้ประเทศไทยเป็นเมือง พุทธศาสนา นำเสนอสินค้าเส้นทางปฎิบัติธรรม ความเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกา

“ปัจจุบันมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธมากถึง 400 ล้านคน จาก 60 ประเทศทั่วโลก หากประเทศไทยสามารถสร้างธีมขึ้นมา แล้วเจาะเสนอลูกค้าในกลุ่มนี้เราก็จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆเข้ามาเพิ่มขึ้น และที่สำคัญเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ ใช้จ่ายเงินสูง”

ที่ผ่านมา มองว่าททท. ให้ความสำคัญกับตลาดเดินทางระยะใกล้มากกว่าตลาดเดินทางระยะไกล ด้วยเหตุผลว่า ตัดสินใจการเดินทางได้เร็ว และมาได้บ่อยครั้ง แต่ปัจจุบันนี้ พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปตลาดระยะไกล อย่างยุโรป และอเมริกา เดิมที่วางแผนท่องเที่ยวจะใช้เวลาตัดสินใจเกือบเป็นปี แต่ขณะนี้ ใช้เวลาตัดสินใจสั้นเพียง 1-2 เดือน

ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวของคนอเมริกา ที่เดินทางออกนอกประเทศมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง ปี 2548 เดินทางออกนอกประเทศ 28.7 ล้านคน ปี 2549 เดินทาง 30.17 ล้านคน ตัวเลขดังกล่าวไม่นับรวมคนอเมริกาที่เดินทางไปแมกซิโกและแคนาดา โดย21% ของผู้ที่เดินทางมีจุดหมายปลายทางที่เอเชีย ขณะที่ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวจากอเมริกาเดินทางเข้ามาเมื่อปีที่ 2549 ประมาณ 6 แสนคน หากดูที่ตัวเลข จะเห็นได้ว่ายังมีโอกาสของการเติบโตอีกมาก และที่สำคัญ นักท่องเที่ยวจากอเมริกา มีค่าใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวเอเชีย 3 เท่า คือ มีค่าใช้จ่ายราว 1.2 แสนล้านบาทต่อทริปวันพักเฉลี่ย 8 วัน

“นักท่องเที่ยวจากอเมริกา 94% เป็นการเดินทางซ้ำ และ 4% เป็นนักท่องเที่ยวใหม่ จะเห็นว่า คนอเมริกา มีกำลังซื้อสูง และเดินทางท่องเที่ยวทุกปี ดังนั้น เราต้องมีสินค้าทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายให้เขาได้เลือกใช้บริการ ที่ผ่านมา เคยเสนอให้โปรโมทประเทศไทยเป็น ฟู้ดส์ทัวริสซึ่ม เทรนด์ โปรโมทอาหารไทย ก็ติดตลาดนี้มาแล้ว หากเราโปรโมทด้านศาสนา เชื่อว่าน่าจะได้รับความสนใจ เพราะประเทศไทยมีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิสาขบูชาโลก แสดงว่า เราได้รับการยอมรับจากทั่วโลกเรื่องความเป็นเมืองพุทธที่โดดเด่นอีกประเทศหนึ่ง”

จี้รัฐสร้างสาธารณูปโภคบูมอีสาน

ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ต้องการให้ ททท.มีการจัดโปรโมทการท่องเที่ยวไปภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอยู่ในใจของนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องการเสนอให้ ททท.จัดทำแผนโปรโมทอีสานระยะยาว 5 ปี

“ที่ผ่านมา ททท.จัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคอีสานก็จริงอยู่ แต่ขาดความต่อเนื่อง และ มีแผนงานไม่ชัดเจน การนำเสนอไม่มีความน่าสนใจ ทำให้ภาคอีสานไม่บูมได้เสียที”

ในส่วนภาครัฐ ควรเร่งพัฒนาสาธาณูปโภคพื้นที่ให้แก่ภาคอีสานด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง ทั้งในระดับจังหวัด และระดับเที่ยวข้ามภูมิภาค เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูง วิ่งให้บริการในภาคนี้ เพราะจากจำนวนประชากรในภาคนี้ 20 ล้านคน หาก ททท.สามารถส่งเสริมให้เดินทางท่องเที่ยวได้ 10% ก็เท่ากับ 2 ล้านคน เป็นตัวเลขที่น่าสนใจ ส่วนชาวต่างชาติ เมื่อเดินทางสะดวก เขาก็จะเดินทางมาเที่ยว

“แนวคิดนี้ รัฐบาลอาจต้องใช้เงินลงทุน 2-3 หมื่นล้านบาท แต่ระยะยาวถือว่าคุ้มค่า เพราะ อีสานเป็นประตูสู่อินโดจีน แต่รัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณเข้าไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานน้อย ส่วนคู่แข่งอย่าง สิงคโปร์ฮ่องกง มาเก๊า เขาพยายาม เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆมาเป็นจุดขายดึงนักท่องเที่ยว”

อย่างไรก็ตาม การจะกระตุ้นภาคอีสานให้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานรัฐ ทำงานแบบประสานความร่วมมือ อย่าทำงานซ้ำซ้อนเหมือนเช่นทุกวันนี้ ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นจากที่เป็นอยู่ปัจจุบันราว 3-4% จากกิจกรรมที่ ททท.ออกมากระตุ้น เช่น อะเมซิ่งคูปองเงินสดลดทั่วไทย ส่วน 6 เดือนแรกปีนี้ นักท่องเที่ยวตลาดในประเทศลดลง 15% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.