การแสวงหาความเป็น สืบ นาคะเสถียร ในหมู่กรรมการมูลนิธิ ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่จบ
มีกรรมการลาออกไปแล้ว 2 คน อนาคตมูลนิธิสืบยังไม่ราบรื่นในการเดินสู่เป้าหมาย...ทำไม
?
สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจเหนี่ยวไกปืนอำลาโลกไปวันที่ 1 กันยายน 2533 ขณะที่สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของประเทสกำลังถูกรุกรานจนร่อยหรอและเสื่อมทรามลงทุกวัน
การจากไปของสืบสร้างผลสะเทือนอย่างมากต่อผู้คนในแวดวงอนุรักษ์ธรรมชาติ
เลยออกไปถึงสังคมวงกว้าง ด้วยความสะเทือนใจกลุ่มเพื่อนและคนรู้จักจำนวนหนึ่งจึงคิดที่จะร่วมกันสร้างบางสิ่งไว้เป็นอนุสรณ์เพื่อการสืบสานเจตนารมณ์-อุดมคติของเขา
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร - มสน. (SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION - SNF) ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
18 ตุลาคม 2533 โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครด้วยเงินทุนเริ่มแรกในขั้นต่ำสุดตามกฎหมาย
200,000 บาท
หลังจากวันนั้น องค์กรอนุสรณ์แห่งนี้ก็เติบใหญ่มีชื่อเสียงขจรขจายออกไป
จำนวนเงินบริจาครวมหลายล้านบาทที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ คือเครื่องบ่งบอกถึงความหวังที่บรรดาคนให้เงินต่างฝากเอาไว้กับองค์กรนี้ว่าจะเป็นผู้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
จวบถึงวันนี้เกือบครบขวบปีชื่อของมูลนิธิสืบสนาคะเสถียรกลับเลือนหายไปท่ามกลางความวิกฤตของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
ภาคกิจกรรมไม่ปรากฏเด่นชัดราวกับว่าการแจ้งเกิดเมื่ปลายปีที่แล้วไม่มีความหมายอะไร
และการจากไปของสืบก็ไม่ส่งผลใด ๆ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
"จริง ๆ เป็นเรื่องจิตใจของพวกเราทั้งหลาย อยากเห็นสิ่งที่ดีอยากเห็นป่าคงอยู่และก็มีความรู้สึกว่า
เป็นหน้าที่ของมูลนิธิฯ ที่จะทำสิ่งนี้ได้ ตอนนี้เราก็พยายามรักษาไว้ให้ได้ก็พยายาม
MOVE อยู่ตลอดเวลา แต่ภาพ MOVE ไม่ปรากฏออกมาอาจเป็นเพราะว่าไม่ได้ประชาสัมพันธ์"
เป็นคำตอบของประธานมูลนิธิฯ รตยา จันทรเทียร
"ผมรู้สึกอย่างนี้อาจจะเป็นมุมมองที่ต่างกันคือว่ามูลนิธิสืบ ฯ เป็นมูลนิธิใหญ่
งานที่ออกมาอาจจะดูไม่ค่อยสมตัวแต่ถ้ามองมูลนิธิสืบฯ เป็นองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมจริง
ๆ โดยไม่ได้เน้นงานประชาสัมพันธ์ ผมรู้สึกว่างานมูลนิธิสืบฯ ประสบผลสำเร็จแล้ว
งานที่ผ่านมานั่นคือผลงานที่เพียงพอ" วีรวัธน์ ธีระประสาธน์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
กรรมการโดยตำแหน่งคนหนึ่งให้ความเห็น
"ถ้าคุณดูความคิดของสืบ เขาเป็นคนที่จะทำแต่โครงการเล็ก ๆ ทำแต่โครงการเล็ก
ๆ ทำอย่างดี และเงียบ ๆ ไม่เคยกังวลกับการต้องประชาสัมพันธ์งาน กังวลแต่สิ่งที่ถูกต้องและแนวทางที่ดี
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็นที่ใหญ่โต มีชื่อเสียง ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาคือสิ่งเล็ก
ๆ ที่ดี แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของใคร เมื่อเขาตายคนก็ช็อกกัน เกิดพลังมาก
มูลนิธิฯ เป็นเหมือนนิวเคลียร์บอมม์ บางทีฉันคิดว่ามันน่าสงสาร แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว
และฉันเชื่อว่ามูลนิธิฯ โอเคจะทำกิจกรรมบางอย่างได้ดี" BELINDA STEWARTCOX
หรือคนที่สืบ นาคะเสถียรเรียกชื่อว่า 'เบ' กล่าว
ในปัจจุบันองค์กรที่ทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติของประเทศไทยมีอยู่หลายองค์กรด้วยกัน
เนื่องจากกระแสความตื่นตัวต่อเรื่องนี้มีอยู่สูงมาก หลายองค์กรที่ทำงานด้านพัฒนาทั้งภาคชนบทและภาคเมืองต่างหันมาเพิ่มแนวการทำงานที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม
แม้แต่คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชนบทซึ่งเป็นองค์กรรวมของบรรดาองค์กรพัฒนาชนบทก็ยังจับงานทางนิเวศน์ด้วย
หรืออย่างมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมที่ทำงานด้านการอบรมบ่ม เพราะนักพัฒนารุ่นใหม่มาโดยตลอดก็ได้หันมาทำโครงการทางสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
นอกจากนี้ ยังมีชมรมและสมาคมต่าง ๆ เช่น ชมรมดูนกกรุงเทพ ชมรมนักนิยมธรรมชาติ
สมาคมหยาดฝน สมาคมสร้างสรรค์ไทย ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีกิจกรรมคาบเกี่ยวอยู่กับการอนุรักษ์ฯ
ทั้งสิ้นแต่ออกจะมีลักษณะการทำงานเฉพาะในบางเรื่อง
ส่วนองค์กรที่ทำด้านการอนุรักษ์โดยตรงในเชิงกว้างจริง ๆ มีอยู่ไม่มากนัก
ที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากคือ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรร่วมของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WORLD WIDE
FUND FOR NATURE - WWF) ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2526 มีนพ.บุญส่ง
เลขะกุล เป็นประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ เป้าหมายขององค์กรคือทำงานอนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อคงไว้ซึ่งความหลากหลายของพรรณพืชและสัตว์ป่า
รวมทั้งสภาวะอันสมดุลของธรรมชาติ
อีกองค์กรหนึ่งก็คือ โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ก่อตั้งเมื่อปี 2529
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการประสานงาน การวิจัย การเผยแพร่ปัญหาทางด้านนิเวศวิทยา
ตลอดจนเพื่อผลักกระแสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเพื่อฟื้นฟูสภาพทางนิเวศให้ยั่งยืน
ประธานคือ ศาสตราจารย์ระพี สาคริก
สำหรับมูลนิธิสืบนาคะเสถียรจึงนับว่าเป็นองค์กรที่ 3 ที่มีเป้าหมายชัดเจนทางด้านสภาพแวดล้อมและนิเวศวิทยา
กล่าวโดยทั่ว ๆ ไป มูลนิธินั้นหมายถึง องค์กรหาทุนและให้ทุนแก่ กลุ่มหรือหน่วยต่าง
ๆ ไปประกอบกิจกรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะต้องลงมือทำงานเองแต่มูลนิธิสืบฯ จัดเป็นลักษณะพิเศษที่พยายามมีบทบาททั้งสองส่วน
"ตอนที่มูลนิธิฯ ตั้งขึ้นทุกคนมีความคิดว่าจะมีลักษณะแบบ NGO (NON-GOVERNMENT
ORGANIZATION) ในความหมายแคบที่ว่า เป็นองค์กรทำงานเชิงเคลื่อนไหวรณรงค์กับปัญหาต่าง
ๆ จากระดับรากฐาน เป็นหน่วยงานที่ทำงานได้ด้วย ทำงานเองมีโครงการเอง หรืออาจจะเป็นแหล่งทุน
สามารถสนับสนุนคนอื่น โดยภาพคือไม่ได้เป็นแบบมูลนิธิทั่วไป คือเหมือนกับในแวดวงสิ่งแวดล้อมได้เกิดองค์กรใหม่ขึ้นมาช่วยทำงานด้านนี้"
กรรมการคนหนึ่งของมูลนิธิฯ บอกเล่า
อย่างไรก็ตาม การจัดรูปของมูลนิธิสืบฯ กลับเป็นแบบเดียวกับมูลนิธิทั่ว
ๆ ไป คือมีเพียงคณะกรรมการ 25 คน และเจ้าหน้าที่ธุรการประจำ 2 คน ครึ่งเวลา
1 คน เคยมีตำแหน่งผู้จัดการแต่ก็ยุบเลิกไปแล้วเมื่อคนเก่าลาออก
แนวทางแบบนี้ถูกเลือกเพื่อกันปัญหาการใช้เงินผิดเป้าหมาย มูลนิธิสืบไม่ต้องการให้มีการรั่วไหลของเงินไปกับเรื่องการจัดการหรือการจ้าง
STAFF เพื่อที่จะเก็บเงินดอกผลประมาณปีละ 2,000,000 บาทเอาไว้ใช้ประโยชน์ในงานอนุรักษ์อย่างเต็มที่
ในการทำงานกรรมการแต่ละคนจึงต้องเป็นอาสาสมัครผู้เสียสละไปพร้อมกัน เพราะไม่เพียงแต่จะต้องประชุมกันในระดับว่าด้วยนโยบายหรือการอนุมัติ-จัดการด้านทรัพย์สินตามหน้าที่กรรมการเท่านั้น
แต่ต้องคิดและสร้างงานในนามมูลนิธิฯ ด้วยซึ่งถ้าเทียบกับมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ
จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากมีการจ้างคนทำงานเต็มเวลาแล้วก็ยังมีอาสาสมัครโดยเฉพาะจากต่างประเทสมาเป็นผู้ทำงาน
กรรมการไม่จำเป็นที่จะต้องจัดการผลักดันสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองเลย
มูลนิธิสืบฯ มีแผนงานรับอาสาสมัครภายในประเทศเข้ามาช่วยงานด้วยเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมาได้มีการพบปะกันบ้างแล้วระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเองและกรรมการ กำหนดว่าภายในเดือนตุลาคมนี้คงจะได้มีการสัมมนากันเพื่อวางแนวทางการทำงานแต่ขณะนี้ก็ยังกระจัดกระจายอยู่
นี่เองเป็นจุดที่มีปัญหาเพราะว่ากรรมการแต่ละคนต่างก็เป็นผู้ที่มีภาระควมรับผิดชอบอื่นมากมายอยู่แล้วทั้งนั้น
"กรรมการแต่ละท่านมีภาระอื่นกันมากอย่างผมก็ยอมรับเลยว่าไม่ได้ทำประโยชน์ให้มากเท่าไหร่ซึ่งอีกอันที่น่าคิดคือ
ผู้บริหารงานในมูลนิธิควรจะเป็นระดับมืออาชีพสักนิด คือในด้านการบริหารงานด้านการจัดกิจกรรม
ก็ต้องเอาคนที่ทำงานได้จริง ๆ มาจ้างซักเดือนละ 10,000 หรือ 15,000 อย่างมูลนิธิฯ
ก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องเงิน เพราะไม่มีคนแล้วจะมีงานได้ไง จะมาพึ่งพวกเราแต่ละคนไม่ไหวหรอก
เอาแค่เป็นตัวยืนในด้านนโยบายก็พอแล้ว" ประพัตร แสงสกุล ผู้เป็นเหรัญญิกกล่าว
แต่ในความรู้สึกของกรรมการอีกหลายคนก็เห็นว่ามูลนิธิไม่ได้มีเงินให้ใช้ได้มากนัก
และยังเชื่อว่าในเมื่อบ้านเมืองยังมีคนที่พร้อมทำงานด้วยความเสียสละอยู่มากมาย
การมีภาระมากไม่ใช่อุปสรรคเพียงแต่ภาระอาจจะเป็นตัวกำหนดว่า ควรทำอะไรได้แค่ไหน
ซึ่งถึงอย่างไรการเป็นกรรมการก็จะต้องพร้อมกับงานหนักอยู่แล้ว ต้องเป็นคนเสียสละ
ไม่ใช่ใครจะเป็นก็ได้ ถ้าหากไม่เสียสละ ก็เป็นคนธรรมดาไปก่อน ที่ผ่านมามูลนิธิสืบฯ
สามารถผลักดันงานออกมาได้ก็ด้วยการทุ่มเทของกรรมการที่คิดเห็นเช่นนี้
โครงสร้างการทำงานทุกวันนี้มีอนุกรรมการ 4 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายกิจกรรม
ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เป็นตัวจักรผลักดันภายใต้การควบคุมประสานงานของคณะกรรมการบริหารทั่วไป
แต่ในทางปฏิบัติจริงก็มิใช่ว่าอนุกรรมการทุกคนจะมีบทบาทเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครมาร่วมประชุมติดตามงานมูลนิธิใกล้ชิดกว่าบทบาทในการกำหนดงานให้เป็นไปตามแนวทางอย่างตนก็เป็นไปได้สูงโดยปริยาย
กิจกรรมสำคัญ ๆ ของมูลนิธิฯ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมามี 8 โครงการด้วยกันคือ
1. การอนุมัติงบประมาณให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรห้วยขาแข้ง-สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ
2. การจัดสาร้างอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์สืบ นาคะเสถียร ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
3. การจัดสร้างเครือข่ายวิทยุสื่อสารให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
4. การจัดสัมมนาเรื่อง "ปัญหาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง"
5. การจัดสัมมนา "การป่าไม้เมืองไทยจะไปทางไหนกันแน่" ร่วมกับศูนย์วิจัยป่าไม้
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 6. การจัดสัมมนาเรื่อง "เราควรตัดถนน
48 สายผ่านเขตป่าอนุรักษ์" 7. โครงการจัดทำหนังสือ "ป่าตะวันตกห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร
มรดกทางธรรมชาติของโลก" การจัดทำข้อเสนอแนะต่อ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2503 และเขตพิทักษ์สัตว์ป่า 8. โครงการอบรมการพัฒนาเนื้อหาและวิธีการสอนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับมัธยมปลายให้สอดคล้องกับพื้นที่
ในจำนวน 8 งานนี้มี 4 งานที่เสร็จสิ้นไปแล้ว คือ งานด้านการจัดสัมมนาและการอบรม
นอกนั้นอยู่ระหว่างดำเนินการ
"ก็อาจมีเสียงจริงว่ามูลนิธิฯ ยังไม่เห็นทำอะไรแต่นี่ไม่ได้เป็นเพราะมูลนิธิฯ
ไม่ได้ทำ แต่เพราะคนอยากรู้แล้วไม่ได้รู้ และมันก็ไม่ใช่ปัญหาประชาสัมพันธ์
เป็นปัญหาซึ่งเมื่อเรามีวัตถุประสงค์อยู่อย่างนี้ 7 ข้อ ประกาศให้สาธารณะได้รับรู้ไปแล้ว
เราก็ทำตามนั้นทุกประการ" ปริญญา นุตาลัย รักษาการเลขาธิการมูลนิธิฯ
ให้ความเห็น
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิทั้งที่ปรากฏในตราสาร และที่เป็นแนวทางตั้งแต่ริเริ่มตั้งเน้นน้ำหนักไปตามสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของชื่อมูลนิธิให้ความสำคัญกล่าวคือ
ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตสืบเคยมีความคิดที่จะจัดตั้งกองทุนขึ้น เพื่อเกื้อกูลด้านสวัสดิการให้แก่พนักงาน
และคนงานในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญนเรศวร รวมทั้งเพื่ออุดหนุนงานวิจัยด้านสัตว์ป่าใน
2 เขต ฯ นี้
จากการคุยกันในระหว่างงานศพ กลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นวนศาสตร์ 35 เพื่อนนักอนุรักษ์
อาจารย์คณะวนศาสตร์ และข้าราชการกรมป่าไม้กลุ่มเล็ก ๆ ที่รู้จักและสนิทสนมกับสืบเห็นพ้องตรงกันว่าจะต้องสานต่อความคิดนี้ให้เป็นจริง
ซึ่งความต้องการของสืบทั้ง 2 ข้อ ก็ได้แปรมาเป็นนโยบายของมูลนิธิฯ ข้อหนึ่ง
- สามในเวลาต่อมา พ่วงเติมมาด้วยงานอนุรักษ์ในแง่กว้าง เช่นการเผยแพร่ความรู้-ข้อมูลปลูกจิตสำนึก
และการรณรงค์แก้ปัญหาอื่น ๆ รวมกันเป็นนโยบาย 7 ข้อพอเหมาะพอสมกับขนาดขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจากตัวแปรหลักคือจำนวนเงิน
ยอดบริจาคที่ได้รับจากการตั้งโต๊ะหน้าศาลาวางศพเป็นเวลา 5 วันจำนวน 166,030
บาท ก็นับว่ามากอยู่แล้วเมื่อเปรียบเทียบกันเวลาและพิจารณาจากแหล่งที่ให้ซึ่งล้วนเป็นคนธรรมดา....มีแต่เพียงความศรัทธาอาลัยสืบเป็นที่ตั้ง
ต้องยอมรับว่าการจบชีวิตของข้าราชการนักอนุรักษ์อย่างสืบสร้างความสั่นสะเทือนได้
กว้างขวางมาก ความตื่นตัวด้านการอนุรักษ์ในประเทศไทยกลายเป็นกระแสสูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
กรมป่าไม้ กองทัพ ตลอดจนถึงผู้ใหย่ของประเทศต่างพากันยกย่องในคุณงามความดีของเขาเลยไปถึงการตะหนักและเอาใจใส่กับปัยหาการทำลายป่าและคร่าชีวิตสัตว์มากขึ้น
ขณะเดียวกันประชาชนทั่ว ๆ ไปที่รับรู้เรื่องราวและงานของสืบจากสื่อมวลชนก็เริ่มหันมาเหลียวแลกับสภาพทรัพยากรธรรมชาติในประเทศของตน
แต่เกียรติยศสูงสุดที่สืบได้รับคือ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังได้ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เองเข้าสมทบกองทุนถึง
2,000,000 บาท ร่วมมากับส่วนอื่นอีก 400,000 บาท กลายเป็นทุนรากฐานก้อนใหญ่ที่ทำให้มูลนิธิสืบ
นาคะเสถียรได้มีโอกาสถือกำเนิดขึ้น
ส่วนแรงศรัทธาจากคนกลุ่มกว้างของสังคมนั้นส่วนใหญ่เทเข้ามาผ่านรายการรับบริจาคทางทีวีเมื่อวันที่
17 ตุลาคม หลังจากมูลนิธิจัดตั้งขึ้นแล้วยอดเงินที่มีผู้แสดงความจำนงบริจาครวมแล้วสูงถึงเกือบ
19 ล้านบาท ซึ่งปกติรายการลักษณะนี้เมื่อถึงเวลาตามเก็บเงินโอกาสที่จะได้จริงมีอยู่เพียงประมาณ
50% เท่านั้น แต่ของมูลนิธิสืบได้มาประมาณ 90%
"คิดว่าเป็นมูลนิธิเดียวในเมืองไทยที่ได้เงินจากประชาชนเพราะที่ผมดูรายชื่อมีคนให้เงินระดับพันมากกว่าระดับแสน
เป็นคนธรรมดาทั้งนั้น ผมไม่เชื่อว่ามีมูลนิธิไหนได้ขนาดนี้ บางองค์กรเขาได้งบปีละเป็น
10,000,000 จริง แต่เขาได้เงินจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ มูลนิธิที่ได้เงินจากภายในประเทสส่วนใหญ่เขาก็รับบริจาคจากบริษัทห้างร้านเสียมาก"
ศรัณย์ บุญประเสริฐ กรรมการคนหนึ่ง และอดีตผู้จัดการของมูลนิธิสืบฯ กล่าว
ด้วยเหตุที่มูลนิธิสืบฯ เป็นความสำเร็จที่ก่อร่างขึ้นจากแรงกายแรงใจของคนทั่วไปเช่นนี้
ความคาดหวังจากมวลชนภายนอกจึงเป้นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้และการที่มูลนิธิฯ จะเดินไปในทิศทางไหนหรือมีกิจกรรมหรือไม่ก็ย่อมต้องมีสายตาจับจ้อง
"เราไม่เคยนึกว่ามันจะใหญ่อย่างนี้ ผมเองไม่เคยคาดฝันไว้เลยว่ามันจะเป็นมูลนิธิซึ่งมีเงินหลายล้านขนาดนี้
ผมก็เริ่มเห็นปัญหาจากจุดนี้แล้วว่า ถ้าเป็นมูลนิธิใหญ่ คนจากทั่วสารทิศที่บริจาคเข้ามาแน่นอนย่อมคาดหวังกับผลงาน
แล้วแต่ละคนก็คาดหวังในแบบที่ต่างกันด้วย ฉะนั้นเราจะตอบสนองคนเหล่านี้หมดได้อย่างไร"
วีรวัธน์ ธีระประสาธน์กรรมการและเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทสนมกับสืบมากให้ความเห็น
สืบ วีรวัธน์กับเพื่อนอีก 2 คน คือ วิฑูรย์ เพิ่งพงศาเจริญ ผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติและ
BELINDA STEWART-COX นักวิจัยเรื่องสัตว์ชาวอังกฤษ เคยคิดที่จะทำองค์กรเกี่ยวกับ
WILDLIFE CONSERVATION ร่วมกันมานานแล้วตั้งแต่เมื่อสืบเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตฯ
ห้วยขาแข้งใหม่ ๆ ในปี 2532 โดยวางแผนว่าจะพิมพ์หนังสือรายงานเกี่ยวกับการเป็นมรดกโลกของห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่ออกขายเพื่อหาเงินทำโครงการ
แต่ก็ยืดเยื้อกันมาเรื่อย ๆ เมื่อครั้งที่ทาง "กลุ่มคนรักป่า"
ผู้จัดงานคอนเสิร์ตวัน EARTH DAY ปี 2533 มอบรายได้ให้แก่สืบ 200,000 บาท
สืบก็ยังคงพูดถึงความคิดนี้อยู่
"ฉันคิดว่าเขาจะต้องประหลาดใจมาก ๆ ที่มีมูลนิธิฯ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีความคิด
ที่จะเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับสาธารณชน เขาไม่เคยวางแผนที่จะมีชื่อเสียง
ไม่เคยที่จะ PROMOTE ตัวเอง เขาได้แต่ต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์และสัตว์ป่าตามที่เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกนี้
ประเทศไทยนี้ที่เป็นของสัตว์ด้วยไม่ใช่แต่คนอย่างเดียว เขาต้องการทำงานหนักอย่างเงียบ
ๆ เพื่อพัฒนาบางอย่าง ฉันคิดวาถ้าเขารู้ว่ามีมูลนิธิเป็นชื่อเขา มีชื่อเสียงมากอย่างนี้เขาต้องแปลงใจ"
BELINDA STEWART-COX กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงความเป็นสืบ
กล่าวได้ว่าในระยะต้นกรรมการต่างก็มีความสับสนทั้งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดอย่างรวดเร็วและกับการคาดหวังของคนภายนอก
ประกอบกับมีภารกิจหลักเบื้องต้นเรื่องการจัดการเงินบริจาค ซึ่งยุ่งยากมากเข้ามารบกวน
กิจกรรมจริง ๆ กว่าจะได้เริ่มต้นจึงล่าช้ามาก
การประชุมกรรมการเต็มรูปตามวาระสามัญเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคมไม่ก่อให้เกิดอะไรมากนักนอกจากการสะสางปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องเงิน
ๆ ทอง ๆ ทำให้ต้องมีการเรียกประชุมอีก 4 ครั้งตามมาจึงสามารถตัดสินงบประมาณได้
เงินใช้จากดอกผลส่วนใหญ่ประมาณ 70% ถูกทุ่มเทให้กับห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่
ๆ ในรูปของโครงการจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักของมูลนิธิ ส่วนนี้กรรมการทุกคนล้วนเห็นพ้องตรงกัน
แต่ส่วนที่เหลือคือปัญหาว่าจะทำอะไร ซึ่งกรรมการคนหนึ่งชี้ว่า พ้นจากเรื่องของการเกื้อหนุนห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่ฯ
แล้ว กับเรื่องอื่น ๆ นั้นยากที่กรรมการทั้งหลายจะมีความคิดคล้องจองกัน
ความแตกต่างทางความคิดในหมู่กรรมการดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่แท้จริงที่สุดขององค์กรที่ชื่อสืบนาคะเสถียร
การลาออกของเลขาธิการที่เอาจริงเอาจังและมีใจให้มูลนิธิฯ มาแต่ต้นอย่างเสกสรรค์ประเสริฐกุลคือจุดเริ่มที่ปัญหาปะทุออกอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนโดยที่เขาเคยเป็น
1 ใน 4 หัวหอกดำเนินการจดทะเบียนมูลนิธิฯ ด้วย
สาเหตุของเรื่องนี้มาจากการที่ผู้จัดการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ได้แจ้งความจำนงผ่านมาทางท่านผู้หญิงบุญเรือนในอันที่จะปันรายได้จากการจัดงานส่วนหนึ่งให้
เผอิญทีมบริหารของมูลนิธิฯ ท่านหนึ่งได้ตกปากรับคำเอาไว้ก่อนที่จะนำเข้าประชุม
แต่เสกสรรค์ไม่เห็นด้วยในขณะที่กรรมการบริหารส่วนใหญ่ยอมรับได้
"ผมได้ข่าวเรื่องเสกสรรค์ออกทีหลัง ที่ประชุมกันก็ไม่ได้เห็นตรงกันนะ
ผมถือว่าอย่างนี้คือโจรใส่บาตรพระ พระรับไหม รับ คนที่เราบอกว่าเขาเลวเราก็เลยไม่เปิดโอกาสให้เขาทำดีอย่างนั้นหรือเพราะทุกคนไม่ได้ดีหมดหรือเลวหมด
เมื่อไรเขาดีเราก็ควรยอมรับ ดูพฤติกรรมในขณะนั้น แล้วเขาเอาเงินมาให้ก็ไม่เสียหายตรงไหนเลย
มูลนิธิก็ยังยืนหยัดในวัตถุประสงค์ในเรื่องนี้นะ ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกัน เราก็ฟังเขาได้
เขาก็ฟังผมได้" ปริญญา นุตาลัยผู้ขึ้นรับตำแหน่งแทนกล่าวสะท้อนถึงความคิดในแนวทางหนึ่ง
ส่วนเหตุผลของฝ่ายไม่ยอมรับหรือเหตุผลของดร.เสกสรรค์มีอยู่ว่า เงินนั้นไม่มีความหมายอิสระ
แต่เกี่ยวข้องกับที่มาที่ไป เงินที่ได้มาจากกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับเจตนารมรณ์ของมนูลนิธิฯ
จำเป็นจะต้องได้รับการปฏิเสธ บางเรื่องแม้ไม่ใช่ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาทางสังคม
สืบเองก็มีความตระหนักอยู่ไม่ใช่น้อย
เมื่อประเด็นนี้เกิดเป็นปัญหาได้มีการนำขึ้นพูดคุยในระดับกรรมการทั่วไป
ปรากฏว่าความเห็น 2 ข้างแตกออกจากกันอย่างเห็นชัดจริง ๆ และกรรมการส่วนที่ไม่ยอมรับนั้นมีมากกว่าที่ยอมรับ
เสกสรรค์พ้นจากมูลนิธิฯ ไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เหตุการณ์นี้ทำให้กรรมการที่เหลือเริ่มหันมาพิจารณาถึงสภาพขององค์กรมากขึ้น
ประกอบกับในเวลาต่อมามีการติดต่อเพื่อขอใช้ชื่อมูลนิธิหรือขอให้มูลนิธิร่วมจัดกิจกรรมหาทุนมากมาย
จึงได้มีประชุมกันวางกรอบการรับเงินขึ้นมาเป็นระเบียบเรียกว่า "ระเบียบการหาทุน"
ระเบียบนี้กำหนดถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับการให้ทุนแก่มูลนิธิฯ ว่าโดยทั่วไปควรจะเป็นไปโดยไม่มีเงื่อนไขข้อผูกพัน
ส่วนการที่องค์กรหรือบุคคลภายนอกจะจัดกิจกรรมหาทุนในนามมูลนิธิฯ ก็จะต้องเสนอโครงการให้พิจารณาเป็นกรณีไปโดยมีเงื่อนไขที่จะต้องยึดปฏิบัติหลายประการด้วยกัน
ส่วนมากเป็นการกำหนดแนวทางการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่น ในข้อ 7.3.2
กำหนดว่า การขอทุนสนับสนุนกิจกรรมในนามมูลนิธิทุก ๆ โครงการจะต้องมียอดเงินสมทบทุนมูลนิธิจำนวนร้อยละ
30 ของรายจ่ายของโครงการ ฯลฯ
จากจุดนี้เองได้ทำให้ผู้จัดการมูลนิธิลาออกไปอีกคนหนึ่งด้วยความเข้าใจต่อรายละเอียดอันหนึ่งเหลื่อมล้ำกัน
"ผมคิดว่ามันมีปัญหาอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็พยายามผลักให้มูลนิธิเป็นไปอย่างที่ตัวเองคิด
ของผมมีจุดตัดสินใจอยู่ 2-3 จุด ซึ่งผมคิดว่าถ้ามูลนิธิฯ ทำบางสิ่งนั้นผมคงไม่มีความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ในฐานะผู้จัดการ
อย่างที่ผมบอกว่มูลนิธิไม่มีสิทะที่จะทำอะไรที่ขัแย้งโดยสิ้นเชิงกับแนวคิดสืบ
มันมีเหตุการณ์นั้น ผมเลยต้องออก" ศรัณย์ บุญประเสริฐ อดีตผู้จัดการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรเล่าถึงจุดตัดสินใจ
ศรัณย์เป็นกรรมการคนหนึ่งมาตั้งแต่ต้น เข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำขั้นสูงสุดเพียงคนเดียว
ของมูลนิธิฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์และลาออกเมื่อวันที่ 10 เมษายน เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับการเรียกเก็บเงิน
30% ตามระเบียบฯ ที่ออกมา
สืบได้เคยแสดงทัศนะเรื่องการไม่เห็นด้วยกับการชักเงินจัดการในเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง
ที่สืบถูกองค์กรแห่งหนึ่งชักเงินบริจาคที่ให้สำหรับโครงการของเขาไป 10% เป็นค่าจัดการ
เขาคิดว่าระเบียบแบบนี้ควรจะเลือกปฏิบัติไปตามความเหมาะสมโครงการดี ๆ ที่เงินจะมีความหมายได้มากไม่ควรจะต้องสูญเสียไปแม้แต่บาทเดียวไม่ว่าทางใด
แต่ปริญญาผู้นำในการร่างระเบียบฯ ได้กล่าวยืนยันว่า การหัก 30% นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นสำหรับการให้ทุนทำกิจกรรม
หากกำหนดสำหรับกิจกรรมที่มีลักษณะของการลงทุนแล้วแบ่งกำไรให้มูลนิธิ
"ตอนหลังมันมีปัญหามาก อย่างขนมกรอบบางชนิดก็ยังมาขอใช้ชื่อมูลนิธิในการโฆษณา
คือเรื่องนี้เราไม่อยากให้เลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อถนอมน้ำใจชาวบ้านว่างั้นเถอะก็เลยให้ทำโดยดูโครงการก่อน
แล้วก็ตั้ง 30% ไว้เผื่อว่ายังไงงานนั้น ๆ ถ้าไม่ได้กำไร มูลนิธิฯ ก็ไม่ขาดทุน
ได้มาก่อนแล้ว 30% ถ้ามีกำไรยังต้องแบ่งอีก 50% ด้วยในเมื่อเขาอยากใช้ชื่อมูลนิธิก็ต้องทำตามนั้น
ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องมาใช้ชื่อ ดีซะอีก เราจะได้ไม่ยุ่ง เพราะคนที่เขาอยากช่วยจริง
ๆ แค่บริจาคมาก็หมดเรื่องแล้ว" ปริญญากล่าว
ความเห็นต่อเรื่องต่าง ๆ ของบรรดากรรมการ 26 คนมักจะไม่ตรงกันอย่างนี้เสมอ
นี่เป็นเพียงมิติหนึ่งที่แค่ยังวนเวียนอยู่ในเรื่องเงินก็เสียคนไปถึง 2 คนแล้ว
มิพักต้องพูดถึงเมื่อต้องสร้างกิจกรรมและบริหารงาน
ต่อมาแม้จะว่าไม่มีกรรมการคนใดลุกขึ้นลาออกอีก แต่การไม่มีส่วนร่วมในสัดส่วนที่เหมาะสมและการไม่ค่อยมีบทบาทของกรรมการหลายคนก็เป้นเรื่องที่ส่อแววไม่ดีนัก
"ในขณะซึ่งเราเกือบทุกคนมีงานประจำ ส่วนใหญ่ก็รับราชการ ใช้เวลาไปเยอะแล้ว
มูลนิธิสืบฯ ยังออกมาคล้าย ๆ เป็นราชการอีกก็เลยทำให้เบื่อหน่ายกัน ผมว่าตรงนี้เป็นตัวที่ตองเร่งแก้ไขให้เป็นการทำงานแบบพี่น้อง
ครอบครัว ไม่มีการบังคับบัญชา รูปแบบก้อย่าติดกับระเบียบกฎเกณฑ์เพราะตรงนั้นยิ่งทำให้น่าเบื่อหน่ายมากที่สุด"
กรรมการมูลนิธิที่อยู่ในระบบราชการคนหนึ่งวิจารณ์ถึงการบริหาร
ที่มาของกรรมการทั้งหลายเกิดขึ้นจากการประชุมที่สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2533 วันที่คน 19 คนนั่งลงคุยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สุดเกี่ยวกับการจัดตั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
กรรมการ 12 ใน 26 คนมาจากผู้เข้าร่วมประชุม ส่วนที่เหลือคือคนที่วงประชุมร่วมกันเสนอจากคนรู้จักมักคุ้นทุกคนล้วนอยู่ในแวดวงอนุรักษ์
และมีคุณสมบัติพิเศษร่วมกันคือต่างรู้จักกับสืบ
การฟอร์มทีมโดยพยายามดึงคนจากทุกสายงานอนุรักษ์ เพื่อหวังประโยชน์ในการประสานงานระยะยาวก่อให้เกิดความหลากหลายเหลื่อมล้ำอันยากพรรนา
ข้าราชการ อาจารย์จากรั้วมหาวิทยาลัย นักศึกษา นักพัฒนา สื่อมวลชน ตัวแทนกลุ่มกิจกรรมท้องถิ่น
คนเหล่านี้ต่างกันทั้งสถานภาพ ตำแหน่ง คุณวุฒิ วัยวุฒิ ตลอดจนถึงความคิดและทัศนะต่องานอนุรักษ์
บางคนเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามักทำงานอยู่คนละข้างกับภาคราชการ
บางคนก็เป็นนักวิชาการที่ทำหน้าที่เผยข้อมูลความเป็นจริง บางคนเป็นนักรณรงค์เปิดประเด็นปัญหา
ในขณะที่บางคนข้องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติในแง่ของความสวยงามเป็นหลัก
คนเหล่านี้ได้มาอยู่รวมกันในฐานะบอร์ดของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ปรากฏการณ์ที่มีกรรมการบางคนจงใจถอยห่างออกไปแท้จริงแล้วจึงเท่ากับเป็นการคัดเลือกแนวทางการทำงาน
แบ่งสรรให้ชัดเจนว่า ใครจะมีบทบาทอยู่ในมูลนิธิมาก เพื่อแนวงานก็จะออกมาในแบบนั้น
เช่น ถ้าข้าราชการมีบทบาทสูง งานก็เป็นราชการกันไป อาจจะทำงานเคลื่อนไหวรณรงค์น้อย
แต่มีเรื่องการอบรมเผยแพร่มาก ขณะเดียวกันปรากฏการณ์นี้ยังได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า
กรรมการคนไหนยืนอยู่ ณ จุดใด
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ว่า ไม่มีใครตระหนักรู้อย่างน้อยก็พอจะเห็นอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
ในยุคสมัยของเลขาธิการคนเก่า เคยมีความพยายามดันให้เกิดการสัมมนาความคิดขึ้น
แต่ทำแล้วก็ไม่อาจละลายความต่างเข้าหากันได้ภายในเวลาอันสั้น ซึ่งมักมีเรื่องเฉพาะหน้ามากมาย
ซ้ำบางคนก็เห็นว่างานจะต้องรีบออก
ปัญหาหลักที่จะยังเถียงกันอย่างไม่อาจหาข้อสรุปดูเหมือนจะอยู่ตรงสิ่งที่เรียกว่า
อุดมคติรวบยอดขององค์กร ซึ่งทุกองค์กรต้องมีและจะเป็นตัวชี้ถึงงานรูปธรรมว่าจะออกมาเช่นไร
แม้เป็นองค์กรที่ทำงานด้านเดียวกันก็ย่อมมีครรลองต่างกัน มีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป
"ความเข้าใจของฉันคือน่าจะเป็นองค์กรรณรงค์ มูลนิธิฯ ควรจะเหมือน
AGENT ในการทำสิ่งที่เป็นไปได้ เช่น ใครจะทำ PROJECT อะไรมูลนิธิฯช่วยได้
และขณะเดียวกันก็มีความคิดและกิจกรรมของตัวเองด้วย แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
มีองค์กรเล็ก ๆ ที่ฉัน สืบ วีรวัธน์ วิฑูรย์ร่วมงานกัน สืบและฉันสนใจเรื่องป่า
วิจัย และการอนุรักษ์ วีรวัธน์คล้ายสืบเข้าใจในบทบาทของการเป็นหัวหน้าวิฑูรย์สนใจเรื่องปัญหาชาวบ้าน
วีรวัธน์กับวิฑูรย์มีความเข้าใจการเมือง ซึ่งฉันกับสืบไม่ฉลาดเรื่องนี้กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ดี
ไม่มีข้อขัดแย้ง ไม่มีปัญหาแต่ปัญหาคือจะทำให้เป็นจริงได้ช้ากว่า" BELINDA
STEWART COX ให้ความเห็น
คนใกล้ตัวสืบอีกคนหนึ่งที่วาดหวังไว้คล้าย ๆ กันก็คือวีรวัธน์ ธีระประสาธน์
"ผมคิดมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้าที่สืบจะตายด้วยซ้ำ คือผมเห็นว่าเราจะต้องมีองค์กรที่เน้นงานเชิงรณรงค์
แต่ว่ามีความพร้อมทางวิชาการด้วยผมเองเคยเสนอมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผมอยากเห็นเราเป็นองค์กรมีบทบาทด้านเดียวเท่านั้น
คือสนับสนุนกลุ่มสำหรับการศึกษาวิจัยและเคลื่อนไหวรณรงค์ถ้าเท่านั้นฝ่ายต่าง
ๆ ก็ไม่ต้องมีเลย กรรมการก็ไม่ต้องเยอะ" วีรวัธน์คือผู้ที่ทางมูลนิธิฯ
ยกย่องให้เป็นผู้ได้รับ "รางวัลสืบ นาคะเสถียร" เป็นคนแรกในปีนี้ในฐานะที่เป็นบุคคลซึ่งอุทิศตนให้แก่งานอนุรักษ์มาโดยตลอด
ทางด้านนพรัตน์ นาคสถิตย์ รองเลขาธิการมูลนิธิฯ เพื่อนร่วมรุ่นวนศาสตร์
35 ของสืบอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างกว้าง ๆ ว่า "สิ่งที่องค์กรด้านอนุรักษ์บ้านเรายังขาดก็คือขาดความบ้าเลือด
หมายความถึงคนที่เข้มแข็งจริงจัง สังคมบ้านเราเป็นทั้งระบบทำดีหน่อยก็โดยอัดแล้วก็เลิกไป
เราต้องการคนที่ยืนหยัดจริงจัง ทุกคนก็หวังว่ามูลนิธิสืบจะไปถึงจุดนั้น แต่ว่าองค์กรนี้ก็มีหลายชั้นอายุ
เป็นนักคิดกันเยอะ"
กรรมการกลุ่มหนึ่งนั้นมักคุยในเรื่องนี้กันอย่างจริงจังและก็มีความเห็นว่า
มูลนิธิสืบฯ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสานต่อเรื่องแนวความคิดหรืออุดมคติของคนที่ชื่อสืบ
นาคะเสถียร อย่างไรก็ตามเฉพาะในแนวความคิดนี้ก็ยังไม่เคยมามีการถกกันจริง
ๆ ว่าอะไรคืออุดมคติของสืบกันแน่
ส่วนทางด้านรักษาการเลขาธิการมูลนิธิฯ ซึ่งเป็นผู้ทุ่มเททำงานมูลนิธิฯ
เป็นอย่างมากกล่าวว่า "ที่จริงวัตถุประสงค์มีค่อนข้างชัดเจนแล้ว คือเน้นที่ทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง
และเขตฯ อื่น ๆ ด้วย องค์กรนี้เป็นองค์กรอนุรักษ์โดยตรง เรื่องอื่น ๆ เช่นการรณรงค์ก็อาจมีบ้างตามความจำเป็น
เราไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาแต่มีหลาย ๆ หน้า แล้วแต่ว่าสวมหัวโขนอันไหน"
ขณะที่ประธานมูลนิธิฯ รตยา จันทรเทียร ยอมรับเช่นกันว่าบุคลิกของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรยังหาไม่พบ
แต่ก็เชื่อว่าเพราะองค์กรยังมีอายุน้อยมาก เพียงไม่ถึง 1 ปีบุคลิกจึงยังไม่ออกมา
ความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ภายใน มีการถกเถียงกันอยู่บ้าง
โดยหลายครั้งอาจจะเต็มที่ แต่บางครั้งอาจจะไม่ เพราะภายในเวทีกรรมการเองก็มีเรื่องของตัวบุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชากับใต้บังคับบัญชาในหน้าที่อาชีพอยู่ด้วยกัน
มีผู้น้อยกับผู้อาวุโส มีผู้ยึดมั่นกับผู้ผ่อนปรนถึงยังไม่มีความคิดรวบยอดอย่างเป็นทางการ
แต่ก็มีโครงการต่าง ๆ ออกมาได้จากอนุกรรมการหรือจากกรรมการคนใดคนหนึ่งภายใต้รูปแบบการบริหารงานที่กำหนดตายตัวแล้ว
"ความหลากหลายทำให้การประชุมแต่ละครั้งเป็นเรื่องน่าสนใจมากเลย ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องแปลกเพราะสังคมไทยมักว่ายังไงว่าตามกัน
แต่ไม่ใช่มูลนิธินี้ซึ่งเป็นลักษณะดี เป็น CHECK AND BALANCE แต่ถ้าถึงเวลาผลักดันงานต้องใช้ทีมงาน
งานเถียงงานหนึ่ง งานทำอีกงานหนึ่ง ต้องเอาทีมไปลุย" ปริญญากล่าว
ถ้าถามถึงความคาดหวังอย่างใจจริง กรรมการที่เหลือทั้ง 24 คนก็ยังคงมีทิศมีทางที่ไม่มีทางจะเหมือนกันโดยสมบูรณ์
เพียงแต่ทุกวันนี้ต่างกำลังเริ่มที่จะปรับช่องว่างความต่างให้แคบลงมากขึ้นเพื่อความสมบูรณ์ของมูลนิธิฯ
เป็นเรื่องของการมองไปข้างหน้าดังเช่นที่กรรมการคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "เราคงเรียกสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับมาไม่ได้หรอก
ภาระหน้าที่ของกรรมการก็คือ ทำให้มูลนิธิฯ เดินต่อไป"
ทั้งนี้ โดยที่ในการปรับก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยตามเวรกรรมสู่ทิศทางใดก็ได้
ยังมีกรอบความควรไม่ควรอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยสิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นสืบอย่างเต็มที่
ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นตามคตินิยมของคนไทย ที่ให้ความสำคัยกับการเอาชื่อคนตายมาใช้
ต้องใช้โดยความเคารพ
เพียงแต่ว่าถ้ายังจะผูกมัดมูลนิธิฯ ไว้กับความเป็นสืบ นาคะเสถียรอย่างเต็มที่โดยที่ก็ไม่มีใครยืนยันได้อย่างแท้จริงว่า
ทางใดถูกและทางใดผิดขวบปีที่ 2 อาจจะต้องเสียไปในความยุ่งเหยิงเหมือนที่ผ่านมาอีก
ซึ่งคงไม่ก่อประโยชน์อะไร
มูลนิธิสืบฯ เป็นองค์กรอนุรักษ์ที่มีศักยภาพ 1 ใน 3 ของไทยที่พอจะฝากความหวังทางด้านสิ่งแวดช้อมและทรัพยากรเอาไว้ด้วยได้
เพียงขวบปีแรกแห่งการเดินทางขององค์กรที่เกิดอย่างกะทันหันแต่แบกภาระเต็มสองหลังไหล่ย่อมยังมีเวลาที่จะพิสูจน์ตัวกันอีกนาน
ว่าไปแล้วในขั้นของการเริ่มต้นและทดลองนี้ โอกาสที่จะสะดุดล้มลุกคลุกคลาน
เพื่อลุกขึ้นใหม่ยังเกิดได้อีกหลายครั้งนัก ขอแต่ให้ในการลุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ละครั้งนั้นเต็มไปด้วยความมั่นคงเอาจริงเอาจัง