พ่อค้าไทย "เหยื่อ" โลกไร้พรมแดน

โดย รุ่งอรุณ สุริยามณี
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

พวกเจ้าพ่อ พ่อค้าขี้ฉ้อ ค้าขายของเถื่อนมานานแล้วโดยมีตลาดใหญ่ที่หาดใหญ่และเยาวราช เหตุเพราะระบบกฎหมายมีข้อบกพร่องและกำแพงภาษี กรมศุลกากรปราบปรามเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน 8 เดือนที่ผ่านมาจับกุมได้ 586 ล้านบาทต่ำกว่าตัวเลขจริงมากมาย จากนี้ไปการค้าของเถื่อนจะลดลงไป พร้อม ๆ กับพ่อค้าไทยต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเมื่อกำแพงภาษีศุลกากรต้องถูกทำลายลงตามยุคสมัยโลกการค้าเสรี เพื่อการแข่งขันที่กำลังระบาดไปทั่ว

สมปอง ชามัง ช่างซ่อมเครื่องยนต์ที่มีชื่อเสียงประจำอยู่อู่แห่งหนึ่งบนถนนพระราม 4 เขามักจะเดินไปแถวเชียงกงบนถนนบรรทัดทองเพื่อหาซื้ออะไหล่เครื่องยนต์ดีเซลใหม่เอี่ยมให้กับลูกค้าของเขา

เครื่องยนต์ดีเซลที่สมปองต้องการเป็นเครื่องยนตร์ที่มาจากสิงคโปร์ มีราคาค่างวดถูกกว่าตลาดถึง 50% "มันหนีภาษีมาจากภาคใต้ โดยมีต้นทางมาจากสิงคโปร์ผ่านมาเลย์แล้วเข้าไทย" เขาเล่าให้ฟังอย่างคล่องแคล่วขณะที่กำลังพลิกดูคาบิวเรเตอร์อยู่หลังร้าน

เชียงกงเป็นตลาดขายาอะไหล่และเครื่องยนต์จากต่างประเทศที่บรรดาช่างซ่อมรถยนต์รู้จักดีพอ ๆ กับวรจักร จะต่างกันก็ตรงที่วรจักรเป็นตลาดขายอะไหล่และเครื่องยนต์ใหม่เอี่ยมจากโรงงานขณะที่เชียงกงไม่ใช่

"เครื่องยนต์เบนซินมือสองส่วนใหญ่เข้ามาจากญี่ปุ่นอย่างถูกต้อง จะมีก็แต่เครื่องดีเซลเท่านั้น" สมปองเล่าถึงประเภทเครื่องยนต์ที่หนีภาษีเข้ามาขายที่เชียงกง

เป็นที่ทราบมานานแล้วว่าการลักลอบนำอะไหล่และรถยนต์หนีภาษีจากมาเลย์เข้ามายังประเทศไทยเป็นสิ่งที่บรรดานักค้าของเถื่อนกระทำมานานแล้ว แม้ยังไม่มีใครทราบว่าปี ๆ หนึ่งมีมูลค่าเท่าใด แต่ก้ไม่มากเกินเลยที่จะกล่าวว่าน่าจะสูงกว่าตัวเลขการจับกุทของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ระบุว่าตกประมาณ 42 ล้านบาทถึง 10 เท่า

จากเชียงกงบนถนนบรรทัดทอง ใช้เวลาเล็กน้อยลงมาทางใต้ของกรุงเทพ มันไม่ยากเลยที่จะหาซื้อของกินของใช้คุณภาพดี ราคาถูกในย่านเยาวราช สินค้าเหล่านี้ไหลเลื่อนผ่านด่านเจ้าหน้าที่มาจากหาดใหญ่ ที่รับต่อมาจากพ่อค้าของเถื่อนที่หากินโดยอาศัยช่องขนของเถื่อนจากมาเลย์ตรงบริเวณ "โนแมน' สแลนด์"

หรือถ้าหากอยากสูบบุหรี่ยี่ห้อชั้นดีระดับโลกอย่าง "มาร์โบโล" ในราคาที่แพงกว่าบุหรี่ของดรงงานยาสูบไทยไม่มากนัก ก็หาซื้อที่ถนนสีลมย่านพัฒนาพงศ์ได้ง่ายเพราะมีวางขายอย่างเปิดเผยแม้จะรู้ดีว่าบุหรี่เหล่านี้หนีภาษีเข้ามาจากสิงคโปร์ก่อนที่จะลงเรือเร็วลำเลียง "ลักษณะเป็นกองทัพมด" มาทางจังหวัดทางภาคตะวันออกของประเทศ

จากกรุงเทพลงทางภาคใต้ที่หาดใหญ่ เป็นตลาดของหนีภาษีจากมาเลย์และสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุด มีสินค้าหลายชนิดวางขายอย่างเปิดเผยแก่นักท่องเที่ยวเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้า ของกินของใช้ ราคาค่างวดของสินค้าเหล่านี้ถูกกว่าของหนีภาษีที่วางขายอยู่แถวคลองถมย่านถนนเยาวราชมาก

ยกตัวอย่าง เครื่องวิทยุเทปขนาดเล็กยี่ห้อไอว่ารุ่น S 170 ราคาเครื่องละ 2,550 บาท ขณะที่คลองถมจะแพงกว่าเฉลี่ย 300-400 บาท และจะแพงกว่า 600-700 บาท เมื่อซื้อจากทางห้าง

การค้าของหนีภาษีในหาดใหญ่เป็นสิ่งที่ทำกันมาเกือบ 30 ปีแล้ว จนกลายเป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยวสำหรับคนต่างถิ่นจากจังหวัดอื่น "การปราบปรามให้ได้ผล ในหลายกรณีมันขึ้นอยู่กับเจ้าเมืองด้วย ว่าท่านเห็นว่าการค้าของหนีภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือไม่" สมใจนึก เองตระกูล รองผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามกรมศุลกากร พูดถึงปัจจัยการดำรงอยู่ของตลาดหนีภาษีหาดใหญ่

แต่สำหรับพวกนักอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันแล้ว การดำรงอยู่ของการค้าหนีภาษีทำให้การดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมายของพวกเขามีการสูญเสียส่วนแบ่งจากตลดาโดยไม่จำเป็น

น้ำมันปาล์มจากมาเลย์ลักลอบหนีภาษีเข้ามาขายในตลาดหาดใหญ่ราคาถูกกว่าน้ำมันปาล์มของไทยมากถึง 50% และจะเริ่มไหลทะลักเข้ามาในในตลาดภาคใต้ราว ๆ เดือนตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผลปาล์มของเกษตรกรกำลับออกสู่ตลาดพอดี

"เราต้องปราบกันทุกปีในช่วงนั้นเพราะว่างทางดรงสักดมักจะอ้างถึงเหตุนี้ในการกดราคารับซื้อผลปาล์มของเกษตรกรรม" สมใจนึกพูดถึงผลกระทบของปาล์มน้ำมันหนีภาษีต่อเกษตรกร

ในรอบปีงบประมาณ 2533 การปราบปรามน้ำมันปาล์มหนีภาษีสามารถจับกุมได้เพียง 10 ล้านบาทเทียบกับขนาดตลาดบริโภคน้ำมันปาล์มในภาคใต้ประมาณกว่า 500 ล้าน

ในภาคใต้มีโรงสกัดน้ำมันปาล์มรายใหญ่อยู่ 11 โรง แต่มีโรงกลั่นเพียงรายเดียว คือ สแตนดาร์ดออยล์ของกลุ่มพี่น้องงานทวี

น้ำมันปาล์มหนีภาษีจากมาเลย์มีทั้งส่วนที่เป็นน้ำมันปาล์มดิบที่ขายเข้าสู่โรงสกัดและน้ำมันปาล์มที่วางขายเป็นปี๊บตามท้องตลาด

ราคาที่ถูกกว่ากันถึง 50% ทำให้น้ำมันปาล์มของไทยไม่มีทางแข่งขันได้เลยในภาคใต้

การค้าของหนีภาษีเป็นตลาดผิดกฎหมายที่เกิดมาเคียงคู่กับตลาดเสรีที่ถูกกฎหมาย แม้ข้อเท็จจริงจะยังไม่มีตัวเลขที่บ่งบอกยอมรับกันว่ามีขนาดเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลมากนักต่อการทำลายการผลิตและการค้าของสาขาธุรกิจหนึ่งใดอย่างแน่ชัด

ยกเว้น การค้าบุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งถ้าการปราบปรามยังไม่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่ทำกันอยู่อาจส่งผลให้ผู้ค้าบุหรี่ต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายได้รับความเสียหายได้

"ราคามันถูกกว่ากันมากตกเฉลี่ยซองละ 25-35 บาท (เพราะไม่มีต้นทุนภาษีนำเข้า 30% และสรรพสามิตอีก 55%) ขณะที่บุหรี่ถูกกฎหมายกำลังเข้ามาขายในราคาสูงกว่าซองละ 5-10 บาท" แหล่งข่าวนิยมบุหรี่นอกพูดถึงบุหรี่หนีภาษี "มาร์โบโล" ที่บริษัทเซลเอ็กเพรสในเครือของบริษัทดีทแฮล์มกำลังนำเข้ามาขายอย่างถูกกฎหมายในเดือนตุลาคมนี้

การค้าของหนีภาษีที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน แม้จะไม่มีตัวเลขยืนยันว่ามีเท่าไรแต่ก็อาจพิจารณาได้จากตัวเลขการจับกุมเป็นตัวเทียบเคียงบ่งบอกถึงขนาดได้

จากสถิติการปราบปรามของกรมศุลกากรในช่วง 8 เดือนตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้วถึงพฤษภาคมปีนี้ มีมูลค่าประมาณเกือบ 600 ล้านบาท เป็นการจับกุมสินค้าหนีภาษีประเภททองคำถึง 220 ล้าน พวกของกินและเครื่องดื่มประเภทสุรา 71 ล้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 63 ล้าน

กล่าอีกนัยหนึ่ง 3 กลุ่มสินค้านี้เป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนของการถูกจับกุมหนีภาษีเข้ามาถึงกว่า 50% ของมูลค่าสินค้าหนีภาษีทั้งหมดที่ถูกจับได้

ถ้าตั้งสมมุติฐานมูลค่าของหนีภาษีที่เข้ามาจริงสูงกว่าที่ถูกจับกุมได้ 10 เท่า ขนาดตลาดของหนีภาษีจะสูงถึง 6,000 ล้านเท่ากับยอดขายของบริษัทลีเวอร์บราเดอร์ไทยหรือถ้าตั้งเพียง 5 เท่า ขนาดตลาดก็จะสูงถึง 3,000 ล้านเท่ากับยอดขายของบริษัท คอลเกต ปาล์มโอลีฟประเทศไทย

พูดง่าย ๆ ยอดขายสินค้าหนีภาษีสูงขนาดนี้ทำให้คนค้ากลายเป็นเศรษฐีได้ไม่ยาก บรรดาเจ้าพ่อแถวหัวเมืองต่างจังหวัดชายทะเลที่ร่ำรวยขึ้นมาส่วนสำคัญก็มาจากธุรกิจของหนีภาษีนี้

ดังที่นักกฎหมายที่ชื่อ "เบคเลอร์ (BECLER)" เคยกล่าวไว้ว่า "การที่บุคคลประกอบอาชญากรรมค้าของหนีภาษี ก็เนื่องจากเขาได้คาดหวังว่าผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากการกระทำความผิดมีมากกว่าผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับถ้าหากกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย" ใน "อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการบังคับกฎหมาย)

คำพูดของเบคเลอร์สามารถนำมาใช้อธิบายถึงสาเหตุการค้าบุหรี่หนีภาษีได้ดีที่สุด แม้บทลงโทษของการค้าหนีภาษีจะต้องเสียค่าปรับศุลกากร 4 เท่าของราคาบวกภาษี และ 10 เท่าของราคาขายตามกฎหมายสรรพสามิตก็ตาม

แต่ความที่ผู้ค้าได้กำไรถึงซองละ 8 บาทจากราคาขาย 35 บาท ปริมาณ 1 คอตตอนหรือ 10 ซองเขาจะได้กำไรถึง 80 บาท เทียบกับ 30 บาทสำหรับบุหรี่ที่ถูกกฎหมาย

มันต่างกันถึง 50 บาทเช่นนี้แล้วมันจึงยั่วยวนให้มีการกระทำก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยการค้าของเถื่อนขึ้น

เมื่อการค้าของเถื่อนโยงเข้ากับผลประโยชน์เป็นปัจจัยที่ตั้งแม้จะรู้ว่าการกระทำเช่นนนี้เป็นการ่ออาชญากรรมก็ตาม คำถามก็คือว่ากฎหมายทางศุลกากรมีข้อบกพร่องหรือไม่ที่ทำให้ผู้ค้าของเถื่อนไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

"มันมีปัญหาจริง ๆ เกี่ยวกับตัวบทบัญญัติ" นักกฎหมายแห่งสำนักงานกฎหมายสนอง ตู้จินดาชี้ถึงช่องโหว่ทางกฎหมาย

กฎหายศุลกากรที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีอายุ 65 ปีแล้ว มีการปรับปรุงแก้ไขบางมาตราเป็นระยะแต่ก็เนิ่นนานมาแล้ว

ปัญหาตัวบทอยู่ตรงส่วนที่เป็นเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่ระบุว่าผู้หลีกเลี่ยงภาษีฯ ต้องรับผิดทั้งหมดไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม

แต่ข้อความนี้ถูกตีความเพื่อบังคับใช้โดยโยงเข้าหาหลักการพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา ที่ให้นำ "เจตนาว่าจะหลีกเลี่ยงภาษี" มาพิจารณาเป็นองค์ประกอบด้วย

เมื่อเป็นดังนี้ผู้ค้าของหนีภาษีมักจะได้รับความคุ้มครองจากตัวบทนี้เสมอ เพราะการสอบสวนมักจะหาข้อพิสูจน์ว่าเจตนาหรือไม่ได้ยาก

"แม้แต่ของกลางที่ยึดได้ กฎหมายก็เปิดช่องให้ยึดได้เฉพาะสินค้า ยกเว้นพาหนะ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของพาหนะที่ใช้ดำเนินการขนของหนีภาษีรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำนั้น"

ซึ่งข้อเท็จจริงการสอบสวนจะกระทำได้ยากมากและมักทำให้เจ้าของพาหนะซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ค้าของหนีภาษีรอดพ้นได้เสมอ

"ส่วนใหญ่ที่เราจับได้ก้เพียงแค่ยึดสินค้าการปรับก็ใช้ดุลพินิจเอาว่าควรจะมากน้อยแค่ไหน" เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม กรมศุลกากรเล่าให้ฟังถึงข้อเท็จจริงในการลงโทษ

สินค้าหนีภาษีที่ถูกจับได้ส่วนใหญ่จะสาวไปไม่ถึงตัวการพ่อค้าใหญ่ คนที่ถูกจับมักเป็นคนรับจ้างขับพาหนะที่กินเงินเดือนเดือนละ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท (แล้วแต่ฝีมือ) จากตัวการใหญ่อีกต่อหนึ่ง

ตัวการใหญ่ในภาคใต้ที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามระบุว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขนของเถื่อนมีอยู่ประมาณ 10 คน เช่น ซู้ ศักด์ระพี โกกัง โกเลี้ยง หงอจ้อง บุญสิน บรรจง ยิ่น และเกี๊ยะ

โกกงและหงอจ้องถูกฝ่ายปราบปรามระบุว่าเน้นหนักในการค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น วิดีโอ โดยอาศัยพื้นที่ในเขตสตูล

ส่วนโกเลี้ยง ซู้ และบรรจงเน้นพวกเม็ดพลาสติกในเขตปาดังและคลองแงะ ขณะที่หยิ่นจะค้าพวกของกินของใช้

"พวกเจ้าหน้าที่ปรักปรำเราว่าเป็นตัวการค้าของเถื่อน กล้าพูดได้เลยว่าเราเสียภาษีถูกต้อง" ซู้เล่าให้ฟังถึงข้อเท็จจริงที่พวกเขาถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่

จากการเข้าปราบปรามของพวกศุลกากรและเจ้าหน้าที่พบว่า ในเขตพื้นที่ภาคใต้ มีเส้นทางที่ใช้ขนของเถื่อนหนีภาษีมากมายราวกับตาข่ายใยแมงมุม

เส้นทางเหล่านี้ มีทั้งทางรถยนต์และทางเดินเท้า ผ่านหมู่บ้านหลายแห่งในหลายเขตพื้นที่ของสะเดาปาดัง และคลองแงะ

สินค้าพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดพลาสติก บุหรี่อะไหล่รถยนต์ ตลอดจนของกินของใช้ มาจากทางฝั่งมาเลย์ สินค้าบางชนิดเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าผลิตได้ในมาเลย์ ขณะที่พวกเม็ดพลาสติก ของกินของใช้ อะไหล่รถยนต์ บุหรี่ จะมาจากทางสิงคโปร์ แล้วเข้ามาที่มาเลย์ ก่อนที่จะเข้ามาไทยตามเส้นทางลักลอบขนส่งที่ว่า

"คือทางมาเลย์ก็จะมีตัวการใหญ่ที่ร่วมมือกับพวกค้าของเถื่อนไทย เท่าที่ทราบเป็นจีนมาเลย์ชื่อ "จึงเยี่ยะฟั่น" คนนี้เขามีร้านค้าอยู่ทางมาเลย์" เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามไทยระบุถึงบุคคลสัญชาติมาเลย์ที่เกี่ยวข้องในการขนของเถื่อนเข้ามาไทย

อย่างไรก็ตาม "ผู้จัดการ" ไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวบุคคลที่ถูกระบุนี้ จึงไม่ทราบว่าข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน

"การปราบของเถื่อน ผมว่าทำอย่างไรมันก็ไม่หมด ในเมื่อราคาทางฝั่งมาเลย์มันถูกกว่าทางฝั่งไทยมาก" ซู้ หนึ่งในผู้ถูกระบุว่าค้าของเถื่อนกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ความข้อนี้สอดคล้องกับทัศนะของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามของกรมศุลกากร-รองอธิบดีสมใจนึก ซึ่งยอมรับว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดการค้าลักลอบหนีภาษีขึ้นในประเทศไทย

ความแตกต่างเรื่องราคาเกี่ยวโยงกับนโยบายด้านโครงสร้างระบบภาษีศุลกากรและการค้าอย่างแยกกันไม่ออก

ยกตัวอย่าง ภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างไทยกับมาเลย์ ไทย-มาเลย์) จะเห็นว่าสินค้าประเภทวัตถุดิบและอาหารปรุงแต่งสำเร็จรูปทางมาเลย์มีภาษีสุลกากรขาเข้าถูกกว่าของไทยมาก

กล่าวคือเฉลี่ยอยู่ในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 เช่น แป้งสาลี เม็ดพลาสติก 2% น้ำมันปาล์ม (ยกเว้นภาษีทุกชนิด) อาหารปรุงแต่ง 35% ขณะที่ของไทย แป้งสาลีต้องเสียภาษีขาเข้าถึง 40% น้ำมันปาล์ม (1.32 บาทต่อลิตร) เม็ดพลาสติก 40% อาหารปรุงแต่ง (ของกินของใช้) สูงถึง 60%

อัตราจัดเก็บทั้งหมดนี้คิดจากราคานำเข้าซีไอเอฟ (รวมต้นทุนค่าประกันและค่าขนส่ง) ไม่ใช่เอฟโอบี

แม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้า ทางมาเลย์ก็คิดภาษีถูกกว่าของไทยเช่นทีวี 30% เตาอบไมโครเวฟ 5% เครื่องดูดฝุ่น 30% ขณะที่ของไทยคิดทีวีสูงถึง 40% เตาอบไมโครเวฟ 40% และเครื่องดูดฝุ่นคิด 50% ของราคาซีไอเอฟ

การแก้ปัญหาค้าของเถื่อนตามแนวชายแดน กล่าวสำหรับระดับเจ้า หน้าที่ศุลกากรของทั้งสองประเทสแล้วต่างยอมรับว่าความแตกต่างของภาษีศุลกากรเป็นสาเหตุสำคัญ

"ทางมาเลย์ก็ยอมรับเป็นเพราะภาษีเขาถูกทำให้ของทะลักเข้ามาที่ไทย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องนโยบายการคลังของประเทศที่อยู่เหนืออำนาจหน้าที่ของเขา" สมใจนึก รองอธิบดีกรมศุลกากรพูดถึงท่าทีการแก้ปัญหาของเถื่อนของเจ้าหน้าที่ศุลกากรมาเลย์

เมื่อเรื่องภาษีอยู่เหนืออำนาจหน้าที่ของศุลกากร การร่วมมือแก้ปัญหาค้าของเถื่อนของประเทศทั้งสอง จึงออกมาในรูปการแสวงหารูปแบบการเข้าปราบปรามที่เหมาะสมต่อหลักการไม่ละเมิดอำนาจอธิปไตยดินแดนของกันและกัน

การที่ไทยมีการคิดอัตราภาษีศุลกากรขาเข้าสูงมากเช่นนี้ เป็นเพราะว่าต้องการใช้เครื่องมือทางการคลังให้การปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมการผลิตที่ทดแทนการนำเข้าของประเทศ เช่น เม็ดพลาสติกซึ่งเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลายที่ยังอยุ่ในขั้นเริ่มต้น อุตสาหกรรมนี้ว่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้ามาลงทุนแข่งขันได้โดยง่าย เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงนับพันล้านบาทขึ้นไป และต้องสันทัดในการเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่เหมาะสมกับขนาดการผลิตและความต้องการของตลาด

เวลานี้มีผู้ผลิตเพียง 5 รายคือ ทีพีไอโพลีนไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์หรือทีพีซี ทีพีอี ทีพีพี และสยามสไตลีน โมโนเมอร์หรือเอสเอ็มบริษัทในเครือกลุ่มปูนใหญ่

"เม็ดพลาสติกที่ลักลอบเข้ามาเป็นพวกแอลดีพีอีเช่นเดียวกับที่ทีพีไอฯ ผลิต แต่พวกลักลอบคุณภาพเกรดต่ำมาก" ผู้ค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกย่านสำเพ็งรายหนึ่งเล่าให้ฟังถึงลักษณะเม็ดพลาสติกเถื่อน

ตลาดของเม็ดพลาสติกเถื่อนส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานเล็ก ๆ ผลิตของใช้พลาสติก เนื่องจากราคาถูกกว่า ขณะที่โรงงานใหญ่ ๆ จะซื้อจากทีพีไอ

มองในมุมกลับ ถ้าหากรัฐไม่ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกไว้สูงอย่างทุกวันนี้ ก็จะเกิดการนำเข้าเม็ดพลาสติกทุกเกรดจากต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก้าวหน้ากว่าไทยมาก เข้ามาอย่างแน่นอน

"มันจะเกิดการแข่งขันด้านราคา และคุณภาพกับผู้ผลิตอย่างทีพีไอ แต่ผมยังสงสัยว่าทีพีไอจะแข่งสู้ได้อย่างไร" แหล่งข่าวบริษัทเอเยนต์ค้าเม็ดพลาสติก "เลียกเซ้ง" ตั้งคำถามเชิงให้ช้อสังเกตุถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกไทย

ทีพีไอเข้ามาลงทุนผลิตเม็ดพลาสติกกลุ่มพีอี เช่น แอลดีพีอีและเอชดีพีอีเมื่อประมาณเกือบ 10 ปี ก่อน มีโรงงานอยู่ที่ระยอง

ส่วนทีพีซีเข้ามาผลิตเม็ดพลาสติกกลุ่มพีวีซีในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

น้องใหม่ก็เป็นทีพีอี ทีพีพีและเอชเอ็มในเครือปูนใหญ่ ที่ผลิตเม็ดพลาสติกกลุ่มพีอี พีพี และเอชเอ็ม ซึ่งอยู่ในระยะเพิ่มลงทุนเท่านั้น

มองจากมุมนี้ เป็นไปได้มากว่าอุตสาหกรรมผลิตเม็ดพลาสติกยังได้รับการคุ้มครองจากเครื่องมือทางการคลังนี้ต่อไป แม้จะต้องแลกกับการไหลทะลักของเม็ดพลาสติกจากทางมาเลย์ต่อไปก็ตาม

แต่ก็ใช่ว่า จะได้รับการคุ้มครองต่อไปไม่มีกำหนดเพราะโลกการค้าระหว่างประเทสกำลังเข้าสู่ยุคการแข่งขันเสรี ที่มีข้อจำกัดทางกำแพงภาษีศุลกากรน้อยที่สุด

แม้การประชุมรอบอุรุกวัยของเกตต์ดูจะมีความสำเร็จไม่มากนักก็ตาม แต่กลุ่มประเทศในโซนการค้าเดียวกันก็ได้ริเริ่ม จัดตั้งเขตการค้าเสรีกันแล้ว เช่น ยุโรปตะวันตก สหรัฐกับเม็กซิโกและแคนาดา

กลุ่มอาเซียนเองก็ได้ริเริ่ม โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีการค้าระหว่างอาเซียนด้วยกันเองมานานแล้ว ที่เรียกว่าอาเซียน-พีทีเอ

กล่าวคือสินค้าในบัญชีที่อยู่ในโครงการนี้เวลามีการส่งออกหรือนำเข้าระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน จะเสียภาษีนำเข้าเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราที่จัดเก็บอยู่

แม้ข้อเท็จจริง โครงการนี้จะไม่ค่อยมีผลเป็นชิ้นเป็นอันแก่ผู้ค้าในอาเซียน เนื่องจากบัญชีสินค้าที่อยู่ในรายการ ส่วนใหญ่มีการค้าขายกันน้อย หรือแทบจะไม่มีการซื้อขายเลย

"อย่างของไทย สินค้าที่เราส่งออกมาก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า อัญมณี ผลิตภัณฑ์พลาสติก เราก็ไม่ต้องการให้อยู่ในบัญชีด้วย" แหล่งข่าวในกรมการค้าต่างประเทศเล่าให้ฟังถึงเกณฑ์การส่งรายชื่อสินค้าเข้าในบัญชีอาเซียน-พีทีเอ

มองจากตรงนี้ โครงการอาเซียน-พีทีเอ เนื้อแท้มันก็ยังปกป้องและกีดกันทางการค้ากันในหมู่อาเซียน

จุดนี้เองที่อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีต้องการแก้ไขความล้มเหลวของอาเซียน-พีทีเอโดยเสนอ "เขตการค้าเสรีอาเซียน" ขึ้น

หลักใหญ่อันหนึ่งก็คือ ต้องการให้ทุกประเทศในอาเซียนนำสินค้าที่อยู่นอกรายการบัญชีที่สงวนไว้เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมของตน เข้ามาอยู่ในบัญชีให้มากที่สุด "ของไทยเองก็มีตั้งนับพันรายการที่อยู่นอกบัญชี" แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ระบุไว้เช่นนั้น

เวลานี้ แนวคิดการจัดตั้งเขตการค้าเสรีของอานันท์ ได้รับความสนับสนุนจากประเทศมาเลเซียสิงคโปร์ ฟิลิปินส์แล้ว จะเหลือก็แต่อินโดนีเซียและบูรไน

โดยเฉพาะอินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดมีประชากรถึง 150 ล้านคน กำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมยังล้าหลังอยู่มาก การสนับสนุนจากอินโดนีเซียเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อความสำคัญของแนวคิดนี้

เพราะถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดในอาเซียนไม่เอาด้วย ก็ต้องล้ม

"เวลานี้ ยังไม่ได้ก้าวเลยถึงขั้น การพิจารณารายละเอียดว่จะมีสินค้าอะไรบ้าง และอัตราภาษีนำเข้าควรจะเป็นเท่าไร" ศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อธิบดีสารนิเทศ กระทรวงต่างประเทศเล่าให้ฟังถึงการเคลื่อนไหวของโครงการ "เขตการค้าเสรีอาเซียน" ของอานันท์

ไม่ว่าแนวคิดการค้าเสรีอาเซียน จะเดินหน้าสู่รายละเอียดหรือไม่ กระแสการค้าต่างประเทศเสรีเพื่อเปิดเงื่อนไขการตื่นตัวในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วทีละก้าว

การผ่อนคลายการคุ้มครองเพื่อสร้างบรรยากาศการแข่งขันด้วยมาตรการลดกำแพงภาษีนำเข้าลงในสินค้าสำคัญ ๆ ถึง 4 ประเภทในช่วงปีนี้ ได้แก่รถยนต์และชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เหล็กเส้น และเครื่องจักรเพื่อการผลิตเป็นตัวอย่างที่แจ่มชัด

การผ่อนคลายอัตราภาษีนำเข้าได้ลงลงจากเดิมอย่างมากมาย โดยที่กระทรวงการคลัง พร้อมที่จะสูญเสียรายได้จากภาษีศุลกากรถึงปีละประมาณการ 12,000 ล้านบาทหรือประมาณไม่เกิน 5% ของรายได้จากภาษีศุลกากร

อุตสาหกรรมทั้ง 4 ประเภทนี้ (โดยเฉพาะรถยนต์และชิ้นส่วน) ที่ผ่านมานับสิบปี บางประเภทอย่างรถยนต์นับ 30 ปี ได้รับการคุ้มครองจากกำแพงภาษีศุลกากรสูงของรัฐ

ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว การคุ้มครองทำให้ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต และเกิดตลาดการค้าของหนีภาษีขึ้น

ดังที่เกิดขึ้นรถยนต์มีราคาแพงเมื่อเทียบกับราคาแพงเมื่อเทียบกับคุณภาพ ขณะเดียวกันก็มีการขาดแคลนพร้อมกันไปก็เกิดขบวนการค้ารถยนต์หนีภาษีขึ้นดังตัวเลขที่ทางกรมสุลกากรได้รายงานการจับกุมได้ปี 2533 สูงถึง 66 ล้านและช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้จับกุมได้ 42 ล้านบาท

เช่นเดียวกับเหล็กเส้นช่วง 2 ปีที่ผ่านมาความต้องการสูงมากเนื่องจากการบูมอย่างขีดสุดของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ทำให้เหล็กเส้นทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดการขาดแคลน

เช่นนี้แล้วการผ่อนคลายกำแพงภาษีลงเท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวกล่าวคือหนึ่ง-เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้ผลิตอุตสาหกรรมเหล่านั้น ต้องตื่นตัวในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรับกับการแข่งขันของสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งมีคุณภาพสูงและชื่อเสียง สอง - เป็นการบีบให้การค้าของเถื่อนหายออกไปจากตลาดเพราะการแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้าเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลกับคุณภาพ จนทำให้ส่วนต่างผลกำไรของสินค้าหนีภาษีไม่จูงใจพอต่อความเสี่ยงที่จะคุ้มต่อการดำเนินการ

กล่าวถึงที่สุดแล้ว ผู้ผลิตที่ไม่กล้าลงทุนหรือเอาจริงเอาจังกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพสินค้า ราคาการขนส่งและการผลิต ย่อมอยู่ในภาวะที่ "ฝันร้าย" อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ที่เห็นอยู่เวลานี้ก็คือ ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และชิ้นส่วน ที่มีข่าวว่าเริ่มลดการผลิตในสายการผลิตบางสายลง พร้อมราคาก็ลดลง 15%

"คุณต้องเข้าใจว่าเวลานี้ กระทรวงการคลังไม่ใช่เสือหิวอีกต่อไป เงินคงคลังมีมากถึง 100,000 ล้านบาท การทำงบประมาณก็ใช้หลักการสมดุลกับงบรายจ่ายมาปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว ประมาณ 460,000 ล้านบาท" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังพูดถึงเหตุผลข้อหนึ่งของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายผ่อนคลายกำแพงภาษีศุลกากรลง

ความจริงแล้ว แรงบีบจากต่างประเทศก็มีส่วนสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายทางการคลังด้านภาษีศุลกากรแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการค้าเสรี

การกีดกันทางการค้าด้วยมาตรการตั้งกำแพงภาษีมันกลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปแล้วสำหรับระเบียบใหม่ของโลกเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

การที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและการค้าโดยพึ่งพิงการส่งออกและนำเข้าถึงร้อยละ 60-70 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติและวางเป้าหมายจะไปให้ถึงร้อยละ 80 ในอีก 4-5 ปีข้างหน้าเมื่อสิ้นแผน 7

เท่ากับว่าระบบการผลิตและการค้าของผู้ประกอบการไทยกำลังอยู่ในสนามแข่งขันของตลาดโลกมากกว่าตลาดภายในประเทศเหมือนในอดีตแล้ว

ดังนั้น การปรับตัวภายใต้ระเบียบกติกาทางการค้าและศุลกากรของตลาดโลก จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องยอมรับ "การเป็นเหยื่อของสถานการณ์โลกเศรษฐกิจและการค้าที่ไร้พรมแดน"

แต่อย่างไรก็ตาม การออกสู่สนามแข่งขันเพื่อเผชิญกับคู่แข่งขันจากส่วนต่าง ๆ ของโลก ก็ใช่ว่าผู้ผลิตไทยจะอยู่ในฐานะเสียเปรียบทีเดียว

เพราะอย่างนี้ที่สุด ทางรัฐบาลก็พยายามปลดเปลื้องอุปสรรคที่เป็นต้นทุนออกเพื่อให้ผู้ผลิตนักอุตสาหกรรมไทย มีต้นทุนน้อยที่สุด

"ทางกรมสุลกากรกำหนดเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตสำหรับสินค้าออกในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ 20% คือจาก 27,400 ล้านเป็น 32,800 ล้าน" อรัญ ธรรมโน เปิดเผยถึงการช่วยเหลือทางศุลกากร

การช่วยเหลือทางศุลกากรมีอยู่ 3 ทาง คือ หนึ่ง - การคืนอากรวัตถุดิบ สอง - การยกเว้นภาษีวัตถุดิบ และสาม - การชดเชยค่าภาษีอากร

ซึ่งในปีที่แล้ว มีการคืนอากรวัตถุดิบให้แก่ผู้ผลิตเพื่อส่งออกเกือบ 12,000 ล้าน ยกเว้นภาษีวัตถุดิบที่นำเข้ามาเพื่อการผลิต 8,500 ล้าน และชดเชยค่าภาษีอากร 7,020 ล้าน

นอกจากนี้ ยังมีการลดภาษีรายได้นิติบุคคลลงอีกจาก 30-35% เหลือ 20-25% ของกำไรจากการดำเนินธุรกิจ และเปลี่ยนโครงสร้างภาษีการค้าจากเดิมมาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราเดียวกันหมดคือ 7%

การผ่อนคลายระบบภาษีศุลกากรพร้อม ๆ กับการลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีการค้า สิ่งนี้เป็นกระบวนการปรับตัวทางการคลังเพื่อเข้าสู่ระเบียบการค้าเสรีของโลกที่ไร้พรมแดน

ภารกิจจากนี้ไป มันอยู่ที่นักอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความจริงของการต่อสู้โดยไม่มีการคุ้มครองของรัฐอีกต่อไป

มันคงเป็นฝันร้ายของนักอุตสาหกรรมที่เคยชินกับการเป็นทารก ขณะเดียวกันมันคงเป็นฝันดีสำหรับนักอุตสาหกรรมที่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.