"TPIPL"รีไฟแนนซ์หนี้8พันล้านสิ้นปีนี้


ผู้จัดการรายวัน(11 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

"ทีพีไอโพลีน" มั่นใจรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมด 8 พันล้านบาททันเส้นตายภายในสิ้นปีนี้ ระบุอยู่ระหว่างเจรจากู้เงินแบงก์ไทยและต่างประเทศ เน้นกู้เงินบาทเป็นหลัก ด้านผลการดำเนินงานปีนี้ เชื่อรายได้ดีกว่าปี 49 เหตุราคาปูนดีกว่าแถมเงินบาทแข็งทำให้ต้นทุนถ่านหินและภาระหนี้ลดลง ส่วนคดีไออาร์พีซีฟ้องร้องตระกูล "เลี่ยวไพรัตน์" ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ชี้หากไม่ซื่อสัตย์คงไม่สามารถดำเนินธุรกิจมาได้นานจากรุ่นปู่มาสู่รุ่นนายประชัยได้ ด้านปูนกลางชี้ความต้องการใช้ปูนในครึ่งปีหลังกระเตื้อง คาดทั้งปียอดใช้ปูน 31 ล้านตันหรือหดตัวเพียง 3-5% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10%

นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการรีไฟแนนซ์หนี้ที่เหลือทั้งหมด 8 พันล้านบาท โดยเจรจาของกู้เงินจากสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รีไฟแนนซ์ไม่น่าเกิน MLR ซึ่งบริษัทจะเน้นกู้เป็นสกุลเงินบาทจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมด

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการฯของศาลล้มละลายกลางมา 7 ปีโดยสิ้นปี50 ถือว่าเป็นปีสุดท้ายที่บริษัทต้องดำเนินการตามแผนฯให้แล้วเสร็จ โดยไม่สามารถขอขยายเวลาแผนปรับโครงสร้างหนี้ได้อีก

ส่วนกรณีที่ค่าเงิบบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้ภาระต้นทุนเงินกู้และดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงโดยหนี้ทั้งหมด 8 พันล้านบาท (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 35บาท/ดอลลาร์) รวมทั้งยังส่งผลให้ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนเชื้อเพลิงถูกลง เช่น ถ่านหิน เป็นต้น

นางอรพิน กล่าวต่อไปว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศลดลง ดังนั้นบริษัทจึงหันไปส่งออกต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยตลาดต่างประเทศมีความต้องการใช้ปูนมากขึ้นและราคาปูนได้ปรับเพิ่มขึ้น เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้รวม 2.6 หมื่นล้านบาท และมาร์จินยังดีอยู่ โดยบริษัทฯมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ทั้งสิ้น 9 ล้านตัน/ปี

"แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบด้านราคาจากการส่งออกปูนซีเมนต์ แต่เมื่อพิจารณาถึงผลดีด้านเงินกู้ที่ลดลงทำให้ชดเชยกันไปได้"

นางอรพิน กล่าวถึงกรณีที่บมจ.ไออาร์พีซี ได้ฟ้องนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และพวกเป็นเงิน 1.8 แสนล้านบาทฐานร่วมกันผ่องถ่ายเงินจากไออาร์พีซี (ทีพีไอเดิม) ออกไปโดยทุจริตระหว่างปี 2538-2543 ว่า ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ก็คงต้องสู้ไปตามขบวนการศาล ซึ่งยืนยันว่าเราไม่ได้ทำดังเช่นถูกกล่าวหา คงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ทำธุรกิจมานานตั้งแต่สมัยปู่ พ่อมาจนถึงรุ่นนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ตลอดเวลานักธุรกิจยอมรับความซื่อสัตย์มิฉะนั้นคงทำธุรกิจได้ไม่ยืนยาวมาจนถึงวันนี้

SCCCเชื่อครึ่งปีหลังยอดใช้ปูนกระเตื้อง

นางจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด หรือ SCCC กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศในครึ่งปีแรก ว่า มีความต้องการใช้ปรับตัวลดลงประมาณ 3-4% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวที่มาจากปัจจัยทางการเมือง ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอการลงทุนออกไป ซึ่งในส่วนของ SCCC คาดว่าจะปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับภาพรวมของตลาด

ทั้งนี้ เชื่อว่าในครึ่งปีหลังสถานการณ์ความต้องการใช้ปูนในประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีสัญญาณทางการเมืองดีขึ้น รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าในปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีที่ดินบริเวณเส้นทางรถไฟผ่าน ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งปีเชื่อว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ใกล้เคียงปีที่แล้ว ประมาณ 31 ล้านตัน หรือหากหดตัวคงไม่เกิน 3-5% ส่วนการส่งออกปูนซีเมนต์โดยรวมยังคงขยายตัวในอัตราที่ดี โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 12-15 ล้านตัน

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะมีรายได้จากการขายขยายตัวขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทปรับเพิ่มราคาค่าบริการขนส่งอีก 10% ตามต้นทุนน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น และ ราคาขายสินค้าในต่างประเทศก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30 เหรียญต่อตัน จากปีก่อนที่ราคาขายอยู่ที่ 28 เหรียญต่อตัน ทำให้มีมาร์จินเติบโตที่ค่อนข้างดีจาก 28% เพิ่มเป็น 31%

"แม้ว่าครึ่งแรกของปีนี้จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน ทำให้ต้องหันไปลดต้นทุนการผลิตเพื่อพยุงรายได้ในปีนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นปีที่ยากลำบากที่สุดหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่ในปีนี้บริษัทฯมีแผนจะจ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นเหมือนปีที่แล้ว ที่จ่ายในอัตรา 6.50 บาท/หุ้น ส่วนงวดนี้จะจ่ายปันผลเท่าไรขึ้นอยู่กับผลประกอบการ"

ทั้งนี้ บริษัทฯมีการลดต้นทุนขนส่งโดยการติดตั้งเอ็นจีวีในรถขนส่งจำนวนกว่า 1,000 คัน ค่าใช่จ่ายในการติดตั้งอยู่ที่ 5 แสนบาทต่อคัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทติดตั้ง ก๊าซเอ็นจีวี หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าขนส่งของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เทียบกับปีที่ผ่านมา


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.