|
ชิเซโด้ผุดศูนย์วิจัยในไทย พัฒนาสกินแคร์สมุนไพร
ผู้จัดการรายวัน(11 กรกฎาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ชิเซโด้ รุกตลาดเปิดศูนย์วิจัยประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาแบรนด์เกี่ยวกับสมุนไพร กลุ่มสกินแคร์ลงเจาะขายทั่วโลก พร้อมควักเม็ดเงินอีก 10 ล้านบาท ขยายคลังสินค้าเพิ่ม รองรับการขยายตัวไลน์สินค้า ก้มหน้ารับยอดครึ่งปีแรกโต 7% ต่ำสุดรอบ 10 ปี เดินเครื่องทำตลาดเต็มสูบหวังดันยอดสู่เป้า 10%
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายคลังสินค้า บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ย่านสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสินค้าได้อีกประมาณ 2,000 ตารางเมตร จากปัจจุบันคลังสินค้าเดิมมีพื้นที่ประมาณ 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับกับจำนวนสินค้าที่มีเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้ร่วมกับพันธมิตร คือ ไบโอเทค หรือศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดตัวศูนย์วิจัยประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทย เกี่ยวกับเครื่องสำอางสมุนไพร ในกลุ่มสกินแคร์ มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของชิเซโด้ในอนาคตไปเมื่อช่วงต้นปี 2550 ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลในความพร้อมของผลิตภัณฑ์อยู่ โดยคาดว่าการวิจัยในครั้งนี้จะเห็นผลได้ในระยะอันใกล้ อีกทั้งยังคาดว่าจะพัฒนาสินค้าออกขายตลาดทั่วโลก
ที่ผ่านมาสินค้าภายใต้แบรนด์ ชิเซโด้ มีการวิจัยในรูปแบบนี้มาแล้วกว่า 5 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น 2 แห่ง นิวยอร์ค 1 แห่ง ปารีส 1 แห่ง ปักกิ่ง 1 แห่ง และประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 6 โดยเมื่อ 6 ปีก่อนมีสินค้าแบรนด์ ชินาโนะดอร์ ทำตลาดมาแล้วที่ประเทศจีนเป็นกลุ่มสินค้าประเภท สกินแคร์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นแพ็ก ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จึงมองว่าการวิจัยจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มใหม่ๆเข้ามาทำตลาด
จากการมุ่งมั่นทำตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ยอดขายโดยภาพรวมที่ผ่านมาของบริษัทฯมีการเติบโตที่ลดน้อยลง กล่าวคือ โตหลักเดียว ในรอบ 10 ปี จากเดิมก่อนหน้านี้บริษัทฯมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักมาโดยตลอด ทั้งนี้ทำให้บริษัทฯมองว่าจะต้องเพิ่มการทำตลาดมากขึ้นเพื่อทำให้ยอดเป็นตามเป็นวางไว้ที่จะโต 10% ซึ่งที่ผ่านมายอดการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโตเพียง 7%เท่านั้น ขณะที่ตลาดเครื่องสำอางในครึ่งปีแรก มีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตได้ดีที่สุดไม่เกิน 3% หรือเท่ากับปี 2549 ที่มียอดขายรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาm
ดังนั้นเพื่อการทำตลาด ทางบริษัทฯจะยึดแนวครบวงจร 360 องศา และการบริการแบบ “โอโมเทนาชิ” หรือ “การบริการแบบใจถึงใจ” รวมทั้งการนำตัวอย่างสินค้าใหม่โปรโมตสินค้าในแต่ละห้องพักตามโรงแรมระดับไฮเอนด์ซึ่งถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่ง เบื้องต้นเตรียมงบประมาณสำหรับทำตลาดไว้ 25% ของยอดขาย โดยจัดแบ่งทั้งสื่อทางนิตยสารและสื่อทางโทรทัศน์ สื่อสารข้อมูลทางตลาดโปรโมตทั้งแง่ของสินค้าเก่าและใหม่อีกด้วย
ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์เมกอัพของ แบรนด์ นาร์ส 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งแบรนด์ อิปซ่า 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ผิวหน้า แอคเน่ แบรนด์ เอต์ตูเซ่ต์ 4.น้ำหอมแบรนด์ อิเซ่ มิยาเกะ และ5. ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ แบรนด์เคลย์ เดอ โป โบเต้ ซึ่งทำตลาดได้ดี ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังไม่มีแผนนำแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากต้องใช้งบในการทำตลาดมาก ดังนั้นบริษัทฯจึงมองว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาดให้ดีที่สุด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|