|
คตส.อายัดทรัพย์ ‘โอ๊ค’1.9พันล. พิรุธโยกซุก’ประไหมสุรี-ทนาย’
ผู้จัดการรายวัน(9 กรกฎาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
คตส.อายัดเงิน “พานทองแท้” กว่า 1.9 พันล้านบาท หลังพบปมพิรุธ ยักย้ายเข้า “ประไหมสุรี” แฉตระกูล“ชินวัตร”โยกเงินอัดฉีดทีมทนายสู้ คดี หุ้นชินคอร์ป ร่วม 100 ล้าน “จารุวรรณ” มึน เจอเล่ห์เดิม “โอ๊ค”แตกเงินยิบย่อย ยากแกะรอย คตส.ถก รถดับเพลิงเครียด ก่อนตีกลับ หลังพบความผิดชัดเจน สั่งอนุ หาช่องฟัน “อภิรักษ์ –ณฐนนท์” ขณะที่ผู้ว่ากทม. ไม่หวั่นถูกสอบเพิ่มเติม ระบุข้อมูลทุกอย่างได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ด้าน ศาลไม่ติดใจที่อยู่แม้ว-อ้อ สั่งคดีทุจริตซื้อที่ดินวันนี้
นาย สัก กอแสงเรือง โฆษก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) แถลงหลังการประชุมคตส.วานนี้ (9 ก.ค.)ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาสั่งอายัดตามคำขอของคณะอนุกรรมการตรวจสอบติดตามทรัพย์สินของบุคคลที่คตส.มีคำสั่งอายัด ที่มีคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา เป็นประธาน ที่เสนอให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากในธนาคารและสถาบันการเงินที่ครอบครัว บุตร บริวารของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กองทุนเทมาเสก (เพิ่มเติมครั้งที่ 5) ตามคำสั่งที่คตส. 026 / 2550
นายสัก กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบพบว่า มีการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไปยังบัญชีต่าง ๆ นอกเหนือจากบัญชีที่มีคำสั่งอายัดไว้แล้ว ทำให้คำสั่งอายัดเดิมไม่ครอบคลุมถึง จึงต้องออกคำสั่งอายัดเงินของนาย พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีเงินฝากจำนวน 4 รายการ รวมวงเงิน 1,900 ล้านบาท ซึ่งมีการยักย้ายระหว่างวันที่ 15-27 มิ.ย.50 ประกอบด้วย 1.ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-83509-6 ชื่อบัญชีบริษัทประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 800 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าว
2.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานควาย บัญชีเลขที่ 013-1-25220-0 ชื่อบัญชี บริษัทเวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด จำนวน 400 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าว 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) สาขาสะพานควาย แคชเชียร์เชคเลขที่ 1240626-8 จำนวน 3 ฉบับ ฉบับละ 200 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 600 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าว
4. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก บัญชีเลขที่ 060-2-68239-7 ชื่อบัญชีบริษัทสมพร แอนด์แอสโซสิเอทส์ จำกัด จำนวน 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าว
นายสัก กล่าวว่า ในส่วนของบัญชีเงินของบริษัทประไหมสุหรีนั้น หากพบว่าเงินที่อยู่ต่างประเทศและเกี่ยวข้องกับเงิน 7.3 หมื่นล้านบาท หรือเป็นเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือคุณหญิง พจมาน ชินวัตร คตส.ก็จะต้องติดตามมาให้ได้
รายงานข่าวจาก คตส.เปิดเผยว่า ในการอายัดบัญชีเงินฝากของนาย พานทองแท้ ชินวัตร บุตร พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ครั้งสุดวงเงิน 1.9 พันล้านบาท จากวงเงินทีเหลือจำนวน 2 พันล้านบาท โดยพบว่ายังมีเงินเหลืออีก 100 ล้านบาท ที่ยังอยู่ระหว่างการติดตามอายัด เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินหลายงวดจำนวนไม่มาก ทำให้ยากต่อการติดตามแต่เชื่อว่าอีกไมนานจะสามารถติดตามได้
ทั้งนี้ในส่วนของเงินที่ คตส.อายัดในครั้งนี้ในบัญชี บจ.สมพร แอนด์ แอสโซซิเอทส์ พบว่าก่อนที่ คตส.จะอายัดได้มีการเบิกจ่ายเงินออกไปเกือบหมดเหลือค่างในลงบัญชีเพียง 10 ล้านบาท โดยมีการแตกออกไปใน 4 บัญชี คือ 1.บัญชีในธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา รัชดาภิเษก ของ นาง ปราณี พงษ์สุวรรณ ภรรยาของนาสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากคุณหญิง พจมาน ชินวัตร ให้รับผิดชอบกรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 20 ล้านบาท 2.บัญชีร่วมของทั้งคู่ ในธนาคารไทยพาณิชย์ 20 ล้านบาท 3.บัญชีส่วนตัวของนายสมพร ในธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร 20 ล้านบาท และ 4 บัญชีของนาย สมพร ในธนาคากสิกรไทย สาขา แฟชั่นไอส์แลนด์ รามอินทรา 30 ล้านบาท
แจ้งข้อกล่าวหา “ฮั้ว” รถดับเพลิงเพิ่ม
นายสัก กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบตามที่อนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงกทม. เสนอให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ 5 ผู้ถูกกล่าวหา โดยให้เพิ่มว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือพ.ร.บ.ฮั้ว ตามความผิดในมาตรา 12และ 13 ว่าด้วยการเสนอราคาล่วงหน้าผู้ซื้อ ผู้ขายมีการกำหนดราคาสินค้า ผลิตภัณฑ์ทุกรายการจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่สามารถเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในเรื่องของราคาตามท้องตลาด และในสัญญายังระบุว่า หลังลงนามก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสิรนค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้ แม้ในชั้นของการตรวจรับจะพบความบกพร่องของสินค้า
นอกจากนี้ที่ประชุม ยังได้ตั้งข้อสังเกตให้อนุกรรมการไต่สวนกลับไปพิจารณาอีก 2 ประเด็นคือ 1. ตั้งข้อสังเกตว่า ปลัด กทม. ควรจะถูกตั้งข้อกล่าวหาด้วยหรือไม่ 2. ขอให้พิจารณาเรื่องการปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทน การเปิดแอลซี ว่าในการพิจารณาเปิดแอลซีดังกล่าวควรมีผู้ใด ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นการฝากประเด็นให้อนุฯกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม ไม่ถึงกับต้องให้ทบทวนมติของอนุฯไต่สวน
ถกเครียดทำไมเว้นปลัดกทม.
รายงานข่าวจาก คตส.เปิดเผยถึงบรรยากาศในการประชุม คตส.ในการพิจารณาการจัดซื้อเรื่อ-รถดับเพลิงว่า หลังจากที่นาย จิรนิติ หะวานนท์ กรรมการคตส.ในฐานะอนุกรรมการ ไต่สวนได้เสนอผลสรุปของอนุกรรมการโดยได้รายงานถึงมติ 5 ต่อ 2 ที่อนุกรรมการเห็นว่าน่าจะเอาผิด คุณหญิงณฐนนท์ ทวีสิน อดีตปลัดกทม.ด้วย แต่มติดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยุติจึงยังไม่มีการเสนอให้แจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเพิ่มเติม
ทั้งนี้กรรมการ คตส.คนอื่นต่างแสดงสีหน้าสงสัย โดยคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ได้สอบถามถึงสาเหตุการไม่เอาผิดคุณหญิงณฐนนท์ และนายอภิรักษ์เพราะการทำสัญญาต่างตอบแทนจะต้องเช็นโดยนายกรัฐมนตรีหรือ รมว.ต่างประเทศหรือ ข้ออนุมัติต่อทีประชุม ครม.เท่านั้นแต่การดำเนินการครั้งนี้ นาย โภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย เป็นผู้ลงนามในสัญญาดังกล่าว เมื่อคุณหญิงณฐนนท์ ในฐานะปลัด กทม.เข้ามาสานต่อทั้งที่รู้ว่านายโภคินทำผิด จะต้องถือว่าปลัดกทม.ทำผิดด้วย และต่อมานายอภิรักษ์ยังได้เซ็นสัญญาเปิดแอลซี ทั้งที่ในสัญญาที่ทำกับบริษัทสไตเออร์ ระบุว่า สัญญาจะเดินต่อไปก็ต่อเมื่อมีการเปิดแอลซี ดังนั้นการที่นายอภิรักษ์เซ็นเปิดทั้งๆ ที่รู้ว่ามีการกระทำผิดมาตั้งแต่ต้นจึงสมควรมีความผิดด้วย
นอกจากนี้ ทราบว่าได้มีอดีตอนุกรรมการตรวจสอบยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านประธาน คตส.เหตุใดกรรมการ คตส.จึงไม่เห็นหนังสือดังกล่าว อยากให้มีการนำเสนอต่อทีประชุมด้วยและอยากให้ อดีตอนุกรรมการคนดังกล่าวเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมด้วย แต่นายนาม ปฏิเสธที่เชิญมาชี้แจงและระบุว่า ได้ส่งหนังสือดังกล่าวให้กับประธานอนุกรรมการไต่สวนไปแล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อคุณหญิงจารุวรรณ กล่าวจบ ปรากฏว่านาย แก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส.ได้แสดงความเห็นสนับสนุน อย่างไรก็ตามได้มีกรรมการ คตส.บางคนเสนอว่า ในกรณีของคุณหณิงณฐนนท์ ถือว่าน่าเห็นใจเพราะเป็นข้าราชการประจำ เมื่อการเมืองแรงก็ต้องทำตาม แต่มีกรรมการคนอื่นแสดงความเห็นว่าคุณหญิงณฐนนท์ เป็นถึงข้าราชการระดับสูงและมีความชำนาญในกทม.น่าจะรู้เรื่องดี นอกจากนี้ยังมีกรรมการคตส.คนอื่นได้เสนอขอให้กันทั้งสองเป็นพยานแต่ไม่มีใครเห็นด้วย ในที่สุดทีประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าน่าจะให้อนุกรรมการไต่สวนไปสอบเพิ่มเติมเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป
นาย นาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส.กล่าวว่า สาเหตุที่ยังไม่มีมติแจ้งข้อกล่าวหาในคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงเนื่องจากคตส.ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบุคคลที่มีส่วนในการจัดซื้อจึงมีมติให้คณะอนุกรรมการไต่สวนไปดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติมทั้งในส่วนของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่า กทม.คุณหญิงณฐนน ทวีสิน อดีตปลัด กทม.และอีกหลายๆคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่ง คตส.ก็ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการไต่สวนเพิ่มเติมแต่เชื่อว่าอนุกรรมการไต่สวนจะเร่งพิจารณาให้ที่ประชุมคตส.มีมติเร็วๆนี้
นายนาย ยังกล่าวถึงกระแสข่าวระบุว่าที่ประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวนได้มีการลง มติ 5ต่อ 2 แต่ประธานไต่สวนเห็นด้วยกับเสียงข้างน้อยว่า คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ไม่ผิด นายนามกล่าวด้วยสีหน้าตกใจว่า ทำไมตนไม่รู้เรื่องนี้เลย
ส่วนที่นายอภิรักษ์ เป็นผู้เปิดสัญญาแอลซีจะถือว่ามีความผิดหรือไม่ นายนาม กล่าวว่า การพิจารณาความผิดต้องดูจากความสมบูรณ์หนังสือสัญญาการซื้อขาย ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะการเปิดสัญญาแอลซีเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าเสียงข้างมากมีความเห็นให้อนุกรรมการไต่สวนรถดับเพลิงฯ สอบเพิ่มเติมได้หรือไม่ นายนาม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวต้องดูเหตุผลด้วยว่าสมควรสอบ เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุสมควรเราก็ไม่สอบเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของคตส. หรือไม่ นายนาม กล่าวว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบ เนื่องจากเราจะเอาเสียงข้างมากเป็นหลัก ซึ่งผลการลงมติของอนุกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าว เป็นอย่างไรตนไม่ทราบ ต้องขอพูดคุยกันก่อน
ส่วนกรณีนี้มีการขอยกเว้นการถูกชี้มูลความผิดใช่หรือไม่ นายนามกล่าวว่า จะขอให้คตส.ยกเว้นได้ไง สำหรับคนอื่นตนไม่ทราบแต่สำหรับตนไม่มีแน่นอน
ด้าน นายอภิรักษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทาง คตส.จะพิจารณา ซึ่งตนเข้าใจว่า จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันนี้ และคงเป็นไปตามกระบวนการ หรือความคิดเห็นที่ทางคณะกรรมการจะตรวจสอบดู ส่วนผลการตรวจสอบจะออกมาแตกต่างจากคราวที่แล้วหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เพราะในส่วนที่ตนเกี่ยวข้องได้เคยชี้แจงและมอบเอกสารข้อมูลครบถ้วนหมดแล้ว พร้อมกับให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ส่วนผลจะเป็นยังไงเป็นเรื่องที่ คตส.จะเป็นผู้วินิจฉัย
ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านายอภิรักษ์ อยู่ฝ่ายเดียวกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ คตส.จึงทำให้ไม่ถูกกล่าวหานั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะทุกคนสามารถวิจารณ์ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว
ศาลไม่ติดใจที่อยู่แม้ว-อ้อ สั่งคดีวันนี้
วานนี้(9 ก.ค.)เวลา 09.40 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ พร้อมด้วย นายนันทศักดิ์ พูลสุข รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และคณะทำงานคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก เดินทางมายื่นคำร้องขอแจ้งที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา จำเลยที่ 1-2 ต่อศาลฎีกา หลังจากที่วันยื่นฟ้องอัยการแจ้งที่อยู่เฉพาะภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร คือ บ้านจันทร์ส่องหล้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ 69 เขตบางพลัด กทม.ต่อมาศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้หาที่อยู่จริงในปัจจุบันของจำเลยทั้งสองก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งคดีว่าจะประทับรับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่ในวันนี้ (10 ก.ค.) ในเวลา 10.00 น.
โดยอัยการได้นำ นายวัชรา พรหมเจริญ ผู้อำนวยการเขตบางพลัด และนายยุทธศักดิ์ ร่มฉัตรทอง ผู้อำนวยการเขตดุสิต มาเตรียมไว้ เผื่อศาลมีคำสั่งให้ไต่สวน รวมทั้งนำหนังสือราชการกระทรวงการต่างประเทศมายื่นเป็นหลักฐานต่อศาลฎีกาฯ ซึ่งยืนยันระบุที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ พักอยู่ที่บ้านเลขที่ 55 พาร์คเลน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และไพร์ม วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ สนามกอล์ฟที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ส่วนคุณหญิงพจมาน ภริยา พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล Raffles เลขที่ 585 ถ.นอร์ธบริดจ์ ประเทศสิงคโปร์ โดยพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.– 6 ก.ค.2550 ทั้งนี้ การยื่นคำร้องอัยการยังยืนยันด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ยังมีชื่ออยู่ภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร์ โดยไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ว่า ทั้งสองได้มีการย้ายชื่อออกจากทะเบียนราษฎร
ภายหลังรับคำร้องแล้ว นายทองหล่อ โฉมงาม รองประธานศาลฎีกา ในฐานะเจ้าของสำนวนคดี พร้อมด้วย นายประพันธ์ ทรัพย์แสง ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา และนายพิชิต คำแฝง ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา องค์คณะ 3 คน ได้ร่วมกันพิจารณาคำร้องแล้วจึงมีคำสั่งไม่ต้องไต่สวนผู้อำนวยการเขตบางพลัด และผู้อำนวยการเขตดุสิตเพิ่มเติม โดยรับคำร้องแจ้งที่อยู่เพิ่มเติมไว้พิจารณาและนัดให้อัยการฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ในวันนี้(10 ก.ค.)เวลา 10.00 น.ตามนัดเดิม
อัยการพร้อมยอมรับคำสั่งศาล
ด้าน นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวภายหลังว่า การแจ้งที่อยู่เพิ่มเติมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่าพักอยู่ในกรุงลอนดอน และรีสอร์ทในประเทศจีนนั้น หนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้บันทึกว่าที่อยู่ทั้งสองแห่งดังกล่าวมีชื่อใครเป็นเจ้าของ และไม่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อหรือเช่าไว้ เพียงแต่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพักอยู่เป็นประจำ เช่นเดียวกับการแจ้งที่อยู่ของคุณหญิงพจมาน ซึ่งระบุว่าได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล Raffles ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.– 6 ก.ค.2550 ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา โดยไม่ปรากฏที่อยู่อื่นเพิ่มเติม และไม่ยืนยันว่าคุณหญิงพจมาน จะนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปอีกหรือไม่ อย่างไรก็ดีขณะนี้ถือว่าอัยการได้ยื่นหลักฐานโดยครบถ้วนแล้ว ซึ่งในวันนี้ (10 ก.ค.) ไม่ว่าศาลฎีกาฯ มีคำสั่งอย่างไรก็พร้อมยอมรับและปฏิบัติตาม
นายเศกสรรค์ ยืนยันด้วยว่า การเปิดเผยที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ที่ขณะนี้พักอยู่ต่างประเทศ ซึ่งสื่อมวลชนได้นำมาเผยแพร่ ไม่ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในคดีอาญา ตามที่นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา ระบุว่าการเปิดเผยที่อยู่ไม่ใช่หน้าที่ของอัยการ และหากจะเปิดเผยข้อมูลก็จะต้องกระทำโดยหน่วยงานต่างประเทศที่ทางการไทยประสานขอความร่วมมือตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว
นายรักเกียรติ วัฒนะพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งที่อยู่เพิ่มเติมแล้ว วันนี้ (10 ก.ค.) องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนจะร่วมกันพิจารณาคำฟ้องเพื่อมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ต่อไป ส่วนที่การพิจารณาคำร้องอัยการยื่นที่อยู่เพิ่มเติมในวันนี้มีองค์คณะเพียง 3 คนร่วมวินิจฉัยไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติที่พิจารณาไม่ครบองค์คณะ เพราะถือว่าเป็นการวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งใดๆ ในสำนวนเท่านั้นแต่ไม่ใช่การวินิจฉัยเพื่อชี้ขาดผลแห่งคดีซึ่งจะต้องร่วมพิจารณาโดยครบองค์คณะทั้ง 9 คนตามกฎหมาย
ทนาย “แม้ว”เล่นแง่ย้อนที่อยู่ตรงหรือไม่
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว กล่าวถึงกรณีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นคำร้องแจ้งที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ต่อศาลฎีกาฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นฟ้องที่อยู่เฉพาะภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร์คือบ้านจันทร์ส่องหล้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ 69 เขตบางพลัด กทม. ก่อนที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งให้หาที่อยู่จริงในปัจจุบันของจำเลยทั้ง 2 ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งคดีว่าจะประทับรับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่ในวันที่ 10 ก.ค. เวลา 10.00 น.ว่า คงต้องรอฟังคำสั่งศาลว่าจะประทับรับฟ้องคดีนี้หรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจสอบดูว่าที่อยู่ตามที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นต่อศาลนั้นถูกต้องและตรงตามที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ พักอาศัยอยู่จริงหรือไม่ หากไม่ตรงกับความเป็นจริง ทีมทนายก็คงจะยื่นคัดค้าน
ส่วนกรณีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ที่ บ้านเลขที่ 55 พาร์คเลน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และไพร์ม วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ สนามกอล์ฟที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนนั้น นายนพดล กล่าวว่า ปกติแล้วอดีตนายกรัฐมนตรีพำนักอยู่หลายสถานที่ อาจอยู่นอกเมืองบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าศาลจะดูที่อยู่จากที่ไหนยื่นฟ้องอย่างเป็นทางการ เช่น หากท่านอยู่ที่ตึกแห่งหนึ่งแล้วตึกมี 100 ยูนิต ก็ต้องระบุที่อยู่ ห้อง และชั้นให้ตรงด้วย หากไม่ตรง ทีมทนายที่ดูแลคดีดังกล่าวก็จะยื่นคัดค้าน และเมื่อไม่มีจำเลยมาขึ้นเบิกความ ศาลอาจจะต้องจำหน่ายคดีออกไปก่อน สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าจะขอกลับประเทศหลังการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องของคดีความนั้นหากคดีใดมอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ที่ชี้แจงได้ก็จะมอบอำนาจให้ชี้แจงแทน โดยขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และยังไม่มีกำหนดการเดินทางไปประเทศใด
คตส.เบิกความคดีภาษีชิน
วันเดียวกันที่ห้องพิจารณาคดี 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลสืบพยานโจทก์คดีดำ อ. 1149/2550 ที่นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พี่ชายต่างมารดาคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมานเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน ร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าหุ้น 738 ล้านบาท และภาษีที่หลีกเลี่ยงจำนวน 546 ล้านบาท โดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยใช้กลอุบาย อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91
โดยการสืบพยาน อัยการนำนายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ กรรมการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขึ้นเบิกความ ซึ่งนายวิโรจน์ มีความเห็นเสนอ ให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีเจ้าพนักงานกรมสรรพากร ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะจากการตรวจสอบพบว่ากรณีที่กรมสรรพากรไม่จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ซื้อหุ้น ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
การซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ผลต่างระหว่างราคาเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งผู้ซื้อหุ้นต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 โดยการกระทำที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรไม่จัดเก็บภาษีก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยบุคคลที่ถูก คตส.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนประกอบ ด้วย 1. นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง 2. นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร 3. นางไพฑูรย์ พงษ์เกสร 4. นางเบญจา หลุยเจริญ 5. น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง 6. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ 7. นายกริช วิปุลานุสาสน์ นอกจากนี้ ยังมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดรวม เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยคือ น.ส.ปราณี เวชชพฤกษ์พิทักษ์ ในฐานะผู้ทำหนังสือสอบถามการเสียภาษี ทั้งที่ไม่มีความสัมพันธ์กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร
ทั้งนี้ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า พยานและหลักฐานสำคัญทางคดีอัยการได้นำสืบและนำส่งต่อศาลไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงการสืบพยานฝ่าย คตส. ที่ทำให้สำนวนคำฟ้องสมบูรณ์มากขึ้น โดยพยานโจทก์ที่นำสืบคดีนี้คงเหลืออีกประมาณ 4-5 ปาก ซึ่งจะเป็น กรรมการ คตส. เช่น นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. อย่างไรก็ดีการสืบพยานฝ่ายจำเลยนั้นจะเริ่มครั้งแรกใน วันที่ 23 ก.ค.นี้ ตามที่ศาลกำหนดวันนัดไว้ก่อนแล้ว ซึ่งคาดว่าจำเลยทั้งสาม น่าจะขึ้นเบิกความด้วยตัวเอง โดยแม้ว่าขณะนี้คุณหญิงพจมาน จะพักรักษาอาการป่วยอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยแล้วอาจจะเดินทางมาศาลเพื่อเบิกความ เพราะส่วนใหญ่คดีอาญาจำเลยมักจะใช้สิทธิ์ขึ้นเบิกความแก้ต่างคดีด้วยตัวเองมากกว่าการยื่นเอกสารแก้ต่างไว้ในสำนวน เพราะการงดไม่ใช้สิทธิเบิกความด้วยตัวเองทางคดีมีผลอาจทำให้ฝ่ายจำเลยเสียเปรียบได้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|