หกเดือนแรกของปีนี้ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ธรรมนูญ ประจวบเหมาะต้องกุมขมับเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่การท่องเที่ยวไทยลดฮวบฮาบลงถึง
15.39% เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาไทยลดเหลือเพียง
1,617,366 คนจากเดิม 1,911,650 คน
ผลของการตื่นตระหนกในสงครามอ่าวเปอร์เชีย ทำให้ในไตรมาสแรกการท่องเที่ยวไทยปีนี้กลายเป็นฝันร้ายของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโรงแรม
เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยลดลงอย่างน่าใจหายถึง 30% โดยเฉพาะตลาดหลักเช่นญี่ปุ่นลดลงไป
32% ไต้หวันลด 9% และสหรัฐอเมริกาถึง 27%
ในฐานะผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ธรรมนูญย่อมต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
เนื่องจากเป้าหมายที่เคยคาดไว้ว่านักท่องเที่ยวจะมาไทยเพิ่มเป็น 5.5-5.6
ล้านคนก็คงจะหล่นลงเพียงตัวเลข 5.4 ล้านคนในปีนี้
"แต่ผมก็เชื่อว่าในปีหน้าปริมาณนักท่องเที่ยวจะมีถึง 6 ล้านคน เพราะเราจะจัดให้มีงานใหญ่สองงานคืองานฉลองครบ
60 พรรษาพระบรมราชินีนาถและปีการท่องเที่ยวอาเซียน 1992" นี่คือความหวังใหม่ที่ผู้ว่าฯ
ธรรมนูญ กล่าวถึง
ปีท่องเที่ยวอาเซียน 1992 หรือ VISIT ASEAN YEAR 1992 (VAY 1992) มีองค์กรกลาง
คือ THE ASEAN TOURISM ASSOCIATION (ASEANTA) ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ที่สิงคโปร์เป็นผู้จัด
งานนี้ใช้งบมหาศาลจำนวนถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใน
6 ประเทศ คือประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และบรูไน
ความจริงประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ใช้กลยุทธ์การตลาดด้วยแนวความคิดการส่งเสริมให้ปี
2530 เป็น "ปีการท่องเที่ยวไทย" (VISIT THAILAND YEAR 1987) และประผลสำเร็จอย่างมาก
นำรายได้เข้าประเทศมหาศาล
เมื่อเห็นผลดีเกินคาดเช่นนี้ เพื่อนบ้านไทยอย่างมาเลเซียก็เริ่มเลียนแบบอย่างไทยบ้าง
ด้วยการวางแผนส่งเสริมให้ปี 2533 เป็น "ปีท่องเที่ยวมาเลเซีย"
ปรากฏว่ามาเลเซียได้ทั้งเงิน และกล่อง โดยทุ่มงบการตลาดถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่ได้ผลเกินคาด ปริมาณนักท่องเที่ยวสูงถึง 7.4 ล้านคนจากเดิมแค่ 4.8 ล้านคน
คิดเป็นตัวเงินได้ถึง 1.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้รายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้ทำรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการทั้งหมด
ในฐานะคู่แข่ง ผู้บริหารการท่องเที่ยวประเทศอินโดนีเซียจะนิ่งดูดายอยู่ไม่ได้จึงประกาศให้ปี
2534 เป็น "ปีการท่องเที่ยวอินโดนีเซีย" โดยหวังเป้าหมายว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวได้อีก
16%
แต่ใน "ปีท่องเที่ยวอาเซียน" ปีหน้านี้ คู่แข่งสำคัญในสายตาของไทยไม่ใช่อยู่ที่สองประเทศนี้เท่านั้น
ประเทศสิงคโปร์และจีนแผ่นดินใหญ่ต่างหากเป็นคู่แข่งที่พยายามช่วงชิงตลาดหลักคือตลาดญี่ปุ่นและยุโรปไปจากไทย
"จากการศึกษาของการท่องเที่ยวแห่ประเทศไทยกับสมาคมผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร
(TTA) เราพบว่าทัวร์แพคเกจของสิงคโปร์และจีนแผ่นดินใหญ่ขายได้ดีในตลาดญี่ปุ่นและยุโรป
เพราะราคาขายถูกกว่าของไทยเราถึง 20-25%" ธรรมนูญวิเคราะห์การแข่งขันให้ฟัง
ด้วยกลยุทธ์ราคาที่ตำกว่าของคู่แข่งนี้ ผู้ว่าฯ ธรรมนูญจึงให้ความเห็นว่น่าจะพิจารณาทบทวนถึงความเสียเปรียบในตลาดการแข่งขันรุนแรงนี้ที่ระดับราคาของไทยยังคงสูงอยู่
เช่น อัตราค่าห้องพักในโรงแรม
"ตอนนี้ตลาดท่องเที่ยวเป็นของตลาดของผู้ซื้อมากกว่าตลาดของผู้ซื้อมากกว่าตลาดของผู้ขายแล้ว"
ผู้ว่าธรรมนูญกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด
เป็นที่ถกเถียงกันมากเกี่ยวกับปัยหาการลดลงของเวลาที่นักท่องเที่ยวใช้ในไทย
(AVERAGE LENGTH OF STAY - ALS) ในปี 2532 ช่วงเวลาพักในไทยสูงถึงคนละ 7.63
วัน ขณะที่ปี 2533 นักท่องเที่ยวใช้เวลาเที่ยวในไทยน้อยลงเหลือเพียง 7.06
วันซึ่งตกลงมาถึง 8% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกความตกต่ำได้มาเยือนนับตั้งแต่ปี
2525
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการลดเวลาเที่ยวลงในประเทศอื่นก็เกิดขึ้นด้วย เช่น ที่สิงคโปร์ในปี
2533 นักท่องเที่ยวใช้เวลาเพียงคนละ 3.30 วันขณะที่ปีก่อนนั้นทำได้ถึง 3.32%
และฮ่องกงก็ประสบปัญหาเช่นเดียว นักท่องเที่ยวใช้เวลาเพียงคนละ 3.5 วันเท่านั้น
สาเหตุหนึ่งของการที่นักท่องเที่ยวใช้เวลาในไทยน้อย เพราะส่วนหนึ่งกลุ่มเป้าหมายถูกแย่งจากคู่แข่งไป
สิ่งแวดล้อมเป็นมลพิษเพิ่มขึ้น เช่น อากาศและน้ำทะเล ปัยหาการจราจรแออัดในกรุงเทพและบริการขนส่งโดยสารในสถานที่ท่องเที่ยวไม่เพียงพอราคาห้องพักสูงเกินไป
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือโครงสร้างของสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในสภาพที่แย่
ไม่เอื้ออำนวยต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่เมืองไทยนาน
ปัญหาการเรียกร้องให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงแรม ยอมลดอัตราค่าห้องพักนั้นเพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวนั้น
ชนินทร์ โทณวณิก ผู้บริหารของดุสิตธานีกรุ๊ป กล่าวไว้ในการสัมมนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ผ่านมานี้ว่า
ถ้าหากลดราคาห้องพักโรงแรมก็ควรจะรวมถึงการลดค่าตั๋วของการบินไทยและลดค่าทัวร์ของบรรดาตัวแทนจัดทัวร์ทั้งหลายด้วย
"ถ้าหากเราลดอัตราค่าห้องพักโรงแรมต่ำลงก็หมายความว่าพนักงานของเราก็ได้ผลตอบแทนต่ำลง
ซึ่งจะมีผลสะท้อนกลับมาถึงเรื่องคุณภาพของการบริการ" เป็นหนึ่งในความเห็นของชนินทร์ที่ไม่เห็นว่าการลดราคาต่ำลงนั้นจะเป็นหนทางแก้ไขปัยหา
"แทนที่เราจะมัวแต่คิดจะดึงราคาให้ต่ำลง เราน่าจะรวมตัวกันทุกฝ่ายเพื่อพิจารณาดูว่ามีอะไรที่ผิดพลาดบ้างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ทำไมภาพพจน์จึงติดลบในต่างประเทศ และเราควรจะร่วมมือกันผลักดันให้มันเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
อย่างมีแผนการท่องเที่ยวแห่งชาติเป็นหลัก" ชนินทร์กล่าวในที่สุด
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะผลักดันแผนหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย
ให้เป็นจริงนั้นส่วนหนึ่งก็ต้องขึ้นกับผู้ว่าฯ ธรรมนูญประจวบเหมาะ คงจะได้พิสูจน์กันในเป้าหมายปีหน้าว่าจะประสบความสำเร็จงดงามเฉกเช่นเดียวกับปีการท่องเที่ยวไทยมื่อ
4 ปีที่แล้วหรือไม่