การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ของการร่วมมือทำธุรกิจจัดนิทรรศการ ระหว่างกลุ่มซินเป้ากับเซ็มส์ไม่ได้สร้างความฮือฮาให้กันคนในวงการอย่างที่เซ็มส์คาดคิด
ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันในวงการว่า หากเซ็มส์ยังคงทำธุรกิจในลักษณะโดดเดี่ยว
โดยไม่มีสายสัมพันธ์อันดีกับคนท้องถิ่นในประเทศที่เซ็มส์เข้าไปหากินแล้วละก็จะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังว่างานนี้ไม่น่าพลาด
จึงอาจกล่าวได้ว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ของซินเป้า และเซ็มส์ต่างก็มีเป้าหมายในทิศทางเดียวกัน
และทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เป็นผู้ผิดหวังมาแล้วด้วยกันทั้งคู่
ว่ากันว่า ซินเป้าผิดหวังจากการเสนอตัวเข้าร่วมบริการการประชุมธนาคารโลก
ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ให้กับบริษัท เอ็นซีซี ของกลุ่มบ้านฉางไปทั้ง
ๆ ที่ได้เตรียมการล่วงหน้ามาอย่างดีด้วยการร่วมมือกับ MESSE MUNCHEN INTERNATIONAL
จากประเทศเยอรมนี ซึ่งมีประสบการณ์บริหารศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ที่เมืองมิวนิก
คือประมาณ 500,000 ตารางเมตรในขณะที่ศูนย์ของไทยมีเนื้อที่ประมาณ 65,000
ตารางเมตร และเคยผ่านการจัดงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ในแต่ละปี โดยรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา
และจัดหาตลาดผ่านเครือข่ายของบริษัทซึ่งมีอยู่ทั่วโลก
นอกจากนี้ซินเป้ายังได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศอังกฤษที่มีประสบการณ์ในการจัดการประชุมทั่วโลกไม่ต่ำกว่า
200 ครั้งเพื่อเป็นแขนขาของซินเป้าอีกแห่งหนึ่งด้วยคือบริษัท ANDRY MONGOMERY
ORGANIZERS
มีการวิเคราะห์กันว่าในอดีตที่ผ่านมากับความเจ็บปวดที่เซ็มส์ได้รับกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เซ็มส์ต้องนำไปคิดไปศึกษา
และหันกลับมาตั้งต้นใหม่ด้วยการปักหลักอย่างเด่นชัดในเมืองไทย เพื่อเปลี่ยนวิถีที่เคยทำมาตลอด
8 ปีที่ผ่านมา แม้เซ็มส์จะประสบความสำเร็จอย่างงามในอดีตมาแล้ว แต่สถานการณ์ในปัจจุบันได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
บ่อยครั้งที่เซ็มส์ยักษ์ใหญจากสิงคโปร์เริ่มพบกับความผิดหวัง เมื่อการแข่งขันของธุรกิจนี้เริ่มบูม
และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการรวมตัวของบริษัทท้องถิ่นและคู่แข่งจากชาติอื่น
ๆ ในธุรกิจเดียวกันเริ่มมีทยอยให้เห็น อาทิ เทรดเด็กซ์ได้เข้าร่วมกับรีดเอ็กซิบิชั่น
จากประเทศอังกฤษเข้ามาเปิดบริษัทขึ้นในเมืองไทยเป็นต้น กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เซ็มส์ฉุกคิดและเริ่มเรียนรู้วิธีทำมาหากินในเมืองไทยเป็นอย่างดี
มร.เอ็ดเวอรด์ลิว กรรมการผู้จัดการ เซ็มส์กล่าวว่า "เราพลาดการจัดงาน
DEFENCE ปีที่แล้วเพราะบริษัทนั้นอ้างว่าเป็นคนไทย" และนี่คือที่มาของการเข้าร่วมกับซินเป้าหรืออีกนัยหนึ่งเป็นการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของเซ็มส์นั่นเอง
หากจะหากินในเมืองไทยต่อไป
ทำไมเซ็มส์จึงเลือกที่จะเข้าร่วมหุ้นทำธุรกิจจัดการประชุมและนิทรรศการในเมืองไทยกับซินเป้า
ทั้ง ๆ ที่ซินเป้าไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจนี้มาก่อน
คำตอบก็คือ เป็นเรื่องธรรมดาของวงการธุรกิจจัดการประชุม และนิทรรศการรายใหญ่ที่เป็นบริษัทต่างชาติหากจะเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังในท้องถิ่นใด
ก็มักจะเลือกร่วมหัวจมท้ายกับบริษัทท้องถิ่นที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้
ขณะเดียวกันจะต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่มั่นคงและประกอบธุรกิจที่แตกต่างจากัน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ว่าจะเป็นเซ็มส์จากสิงคโปร์, รีด เทรดเด็กซ์จากอังกฤษ
เทมหรือบีอีเอส จากสิงคโปร์ก็ตามต่างก็เกรงการแตกแยกหลังรวมตัวด้วยกันทั้งนั้น
เข้าทำนองดังแล้วแยกวง
ในทางตรงกันข้ามหากผู้ร่วมทุน มีธุรกิจที่มั่นคงอยู่แล้วก็จะไม่ใส่ใจในเรื่องการแย่งทำธุรำกิจที่เหมือนกันตน
กลุ่มซินเป้าเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า
40 ปีในธุรกิจการพิมพ์ซินเป้าก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2492 หนังสือพิมพ์ซินเสียนเยอะเป้า
ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์จีนเล่มแรกของไทยได้สร้างชื่อเสียงของบริษัทซินเป้า
ให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มชาวจีนในไทย จนนับได้ว่าวเป็นหนังสือพิมพ์จีนที่มีผู้อ่านมากที่สุดในประเทศก็ว่าได้
และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซินเป้าได้เริ่มขยายกิจการไปยังธุรกิจประเภทอื่น
ๆ เช่นธุรกิจการพิมพ์ เป็นต้น
ส่วนบริษัท เซ็มส์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2523 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการและจัดนิทรรศการ
เซ็มส์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์
ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา เซ็มส์ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการประชุมและนิทรรศการชั้นนำในระดับภูมิภาค
ในประเทศไทยเซ็มส์เริ่มเข้ามามีบทบาทปี 2526 จากการเป็นผู้บุกเบิกในการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
โทรคมนาคมและงานสุดท้ายที่สร้างชื่อเสียงให้เซ็มส์คงอยู่ในประเทศไทยคือ เทเลคอมมูนิเคชั่นส์
แอนด์ ดีเฟนส์ ซัพพอร์ท เซมินาร์
"การที่ผมเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อน ทำให้ผมเล็งเห็นถึงประโยชน์จากการร่วมกันระหว่างธุรกิจการจัดนิทรรศการ
และธุรกิจสื่อสารมวลชน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยนช์ให้กับทั้งสิงคโปร์และไทยอันเป็นผลจากการร่วมทุน
การระดมความคิด การรวมกำลัง และการปันส่วนทรัพยากรในครั้งนี้" มร.เอ็ดเวิร์ดลิว
กรรมการผู้จัดการร่วมกล่าว
กล่าวกันว่า ความเชี่ยวชาญของเซ็มส์ด้านการจัดการประชุมและจัดนิทรรศการ
ร่วมกับความเชื่อถือในธุรกิจการพิมพ์ของซินเป้ารวมทั้งความเข้าใจ ในสังคมเศรษฐกิจของไทยอย่างถ่องแท้ของซินเป้าจะส่งผลให้ซินเป้า
และเซ็มส์กลายเป็นผู้นำในการจัดนิทรรศการและการประชุมในไทย ขณะเดียวกันก็เป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและธุรกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีกด้วย
"ประเทศไทยมีความสามารถและความตั้งใจที่จะเป็นส่วนที่มีความสำคัญยิ่งขึ้น
ในฐานะประเทศที่ก้าวหน้าไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาทางอุตสาหกรรมใหม่ประเทศหนึ่ง
ในเอเชียทางด้านอุตสาหกรรมการจัดนิทรรศการระดับโลก" พลเอก เชาวน์ คงพูลศิลป์
ผู้มีสายสัมพันธ์กับมร.เอ็ดเวิร์ดลิว และเชื่อมโยงให้เกิดการลงทุนร่วมกันจนเกิดเป็นบริษัทซินเป้า
แอนด์ เซ็มส์ฯ กล่าวอย่างภาคภูมิใจในฐานะประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ
ส่วนชัยอารี สันติพงศ์ชัยกรรมการร่วมอีกผู้หนึ่งกล่าวว่า "ตลาดในประเทศมีความต้องการด้านการพัฒนาธุรกิจใหม่
ๆ และเราก็มุ่งมั่นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตอันท้าทายนั้น"
ชัยอารีเป็นลูกชายของลีสันติพงศ์ชัย ประธานซินเป้าเจ้าของหนังสือพิมพ์ซินเลียนเยอะเป้า
เคยทำธุรกิจเป็นเอเยนต์ของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ที่กรุงเทพมาก่อนในนามบริษัทนิวอีร่า
แต่ต้องประสบความล้มเหลว กระนั้นเขาก็ไม่ลดควมพยายามที่จะสู้ต่อไป ด้วยการเปิดบริษัทอารซีสเต็ม
ให้บริการแยกสีแก่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ แต่ก็โชคร้ายอีกเมื่อทรัพย์สินต่าง
ๆ ของเขาในบริษัท อารีซีสเต็มถูกไฟ
การเปิดบริษัทซินเป้าโดยร่วมลงทุนกับเซ็มส์จึงเป็นการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของชัยอารี
การกลับมาครั้งนี้ชัยอารีวางแผนการใหญ่ที่จะบุกธุรกิจจัดการประชุมและนิทรรศการซึ่งวินเป้าแอนด์
เซ็มส์ ได้เตรียมการติดต่อขอเช่าระยะยาว 5 ปีกับบริษัทเอ็นซีซีเพื่อใช้ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์หลังการจัดงานประชุมธนาคารโลกสิ้นสุดลง
เป็นสถานที่จัดงานแสดงสินค้าอย่างน้อย 7 งานในแต่ละปีในระยะ 5 ปีข้างหน้านับตั้งแต่ปี
2535 นี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแอร์โชว์ 93 ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของการจัดประชุมและนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องบินและการแสดงการบินในเดือนกันยายน
2536
นอกจากนี้ยังมีงานอื่น ๆ ที่ได้รังจองเนื้อที่สำหรับจัดนิทรรศการไว้แล้วคือ
TELECOM INFOTECH ASIA เป็นเนื้อที่ 5,000 ตารางเมตร, งาน AUTO ASIA, PHARMEX
ASIA, DEFENCE ASIA, TAIWAN MACHINERY โครงการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเป้าหมายทางการตลาด
ที่ซินเป้าแอนด์เซ็มส์วาดหวังในอนาคตว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดงานซึ่งเซ็มส์มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกันเพราะสายสัมพันธ์อันลึกซึ่งในหมู่สายทหารที่พลตำรวจโท นิยม
กาญจนวัฒน์ ในฐานะของประธานกรรมการบริษัทซินเป้าแอนด์เซ็มส์และในฐานะผู้เป็นพ่อตาของชัยอารีได้สร้างสมมานานแรมปี
คงจะเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้ซินเป้าและเซ็มส์ทำธุรกิจบุกตลาดงานประชุมและแสดงสินค้าตามเป้าหมายได้สะดวกขึ้น
เป้าหมายและโครงการต่าง ๆ เหล่านี้จะสัมฤทธิผลหรือไม่หลังจากทั้ง 2 ฝ่ายจับมือแข็งขันจนถึงขั้นนี้แล้วจะกลายเป็นบทพิสูจน์ง่าย
ๆ ที่ "เอ็ดเวิร์ด ลิว" เคยพิสูจน์และชอกช้ำมาแล้ว ว่าจริงหรือที่คนสัญชาติเดียวกันจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่าคนต่างชาติ
เช่นเซ็มส์ที่เข้ามาทำธุรกิจอย่างปีกล้าขาแข็งและโดดเดี่ยวมาตลอดต้องมาแพ้ภัยตัวเองเช่นนี้