แฉแผนตปท.โกยค่าเงิน-หุ้น โยนสลับ2ตลาด-ดันบาทถึง32


ผู้จัดการรายวัน(9 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

จับตานักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ต หลังฟันกำไรแล้วกว่า 30% ทั้งจากราคาหุ้นที่พุ่งอย่างต่อเนื่องจากต้นทุนดัชนีแถว 700 จุด บวกกับกำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทุบสถิติ 10 ปี แฉแผนต่างชาติฟันกำไรทั้งค่าบาท-หุ้น ตั้งเป้าดันบาทให้แข็งถึง 32 ก่อนเปิดฉากโจมตีอีกระลอก ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อดัชนีตลาดหุ้นเจอความเสี่ยงการปรับฐาน แม้จะมีปัจจัยหนุนจากเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง ผู้จัดการกองทุนยอมรับทิศทางตลาดหุ้นยากจะคาด

ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องถึงระดับ 832.38 จุด ซึ่งสามารถลบสถิติสูงสุดในสมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ดัชนีปิดสุดอยู่ที่ 802 จุด และยังทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปลายปี 2539 ที่เคยทำไว้สูงสุดที่ 831.57 จุด

โดยปัจจัยหลักที่เข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลาย และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2550 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่าแสนล้าน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับเม็ดเงินที่เข้ามาเป็นจำนวนมากนั้น เป็นเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจริงหรือไม่ หรือเป็นเม็ดเงินของนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศที่ส่งคำสั่งซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากทางการไทย รวมทั้งกังวลว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามามีความผิดปกติหรือไม่ และจะอยู่ในตลาดหุ้นนานเท่าใด เพราะเกรงว่าหากนักลงทุนต่างชาติพร้อมใจกันปรับพอร์ตและเทขายหุ้นออกมาจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรง

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวถึง ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนยังคงเป็นประเด็นหลักที่สามารถกำหนดทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้น โดยอดีตที่ผ่านมาผลตอบแทนที่นักลงทุนต่างประเทศต้องการจากการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 20-30% ซึ่งปัจจุบันหากพิจารณาการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด พบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 15-20% จากดัชนีช่วงที่มีการซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องดัชนีอยู่ที่ประมาณ 700 จุด

ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างประเทศยังได้รับผลประโยชน์หรือกำไรอื่นๆ คือ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากพิจารณาผลตอบแทนจากทั้ง 2 ประเภทเชื่อได้ว่าผลตอบแทนของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้น่าจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 30%

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากผลตอบแทนจากการลงทุนกับผลตอบแทนที่ได้รับในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างยิ่งว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มมีการขายเพื่อทำกำไรออกมาหรือไม่ เพราะจากตัวเลขมีการซื้อสุทธิเข้ามาในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายแสนล้านบาท

“แม้ว่าต่างชาติจะไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายที่แน่นอนว่าต้องการเท่าไหร่จาการลงทุน แต่ปกติเมื่อผลตอบแทนปรับขึ้นถึงระดับประมาณ 30% มักจะมีการขายออกมาเพื่อทำกำไรซึ่งนักลงทุนที่จะเข้าไปซื้อจะต้องระมัดระวัง” แหล่งข่าวกล่าว

คาดสิ้นเดือนดัชนีแตะ830-850จุด

นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจากเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาล้วนๆ เพราะปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเลย โดยภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะสั้นๆ นี้ เชื่อว่าจะยังคงมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาต่อเนื่อง และจะดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปได้อีก โดยภายในสิ้นเดือนนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับ 830-850 จุดได้

“ตั้งต้นปีที่ผ่านมา ดัชนีบ้านเรายังไล่ตามหลังตลาดเพื่อนบ้านอยู่ เพราะมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาอั้นไว้ แต่พอปัจจัยดังกล่าวเริ่มคลี่คลายลงไป ก็เลยเริ่มเห็นเงินลงทุนไหลเข้ามา ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะตลาดหุ้นไทยยังถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค” นายวิชชุกล่าว

อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนที่ไหลเข้ามาดังกล่าว ไม่สามารถบอกได้ว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่เชื่อว่าเงินลงทุนที่เข้ามาทั้งหมดมีทั้งเงินลงทุนระยะกลางและเงินลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งหากนักลงทุนกลุ่มนี้ทำกำไรได้ 30% แล้วก็มีความเป็นไปได้ทุกขณะที่จะถอนเงินลงทุนออกไป หรือบางทีหากได้กำไร 15-20% ก็อาจจะเริ่มขายทำกำไรออกมาบ้างแล้ว

ผู้จัดการกองทุนยอมรับเดาทิศทางไม่ออก

นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงระยะสั้นนี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะในช่วงที่เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนเช่นกัน จึงทำให้ภาวะการลงทุนระยะสั้นมีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างถูกหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่จากปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นทำให้ความน่าสนใจมีน้อยกว่า ซึ่งภายหลังจากปัญหาดังกล่าวเริ่มคลี่คลายแล้ว บวกกับความคาดหวังว่าเศรษฐกิจในประเทศเองจะปรับตัวดีขึ้นด้วย จึงมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามา และถึงแม้ว่าในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีจะปรับขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่าเพราะมีการซื้อขายกันที่ระดับ P/E 11-12 เท่า จึงเชื่อว่าดัชนีน่าจะปรับขึ้นไปได้อีก และยังน่าลงทุนในระยะยาว

ทั้งนี้ ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเอง ยังมองว่าความไม่แน่นอนในประเทศไทยยังมีอยู่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งการที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้วระดับหนึ่ง จึงทำให้ความน่าสนใจเข้ามาลงทุนยังมีอยู่ แต่นักลงทุนเหล่านี้ต้องการเห็นสภาพแวดล้อมทางการลงทุนที่มั่นคงมากกว่า ซึ่งในส่วนของอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นปัจจัยที่เขาให้ความสำคัญด้วย ซึ่งในปีนี้เองอาจจะออกมาไม่ดีหรือติดลบเล็กน้อย

แฉแผนต่างชาติฟันค่าเงินสลับหุ้น

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง ASTV คืนวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมืองไทยปีหน้าจะขึ้นถึงพันกว่าจุดตามที่ตนเคยคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม แต่จะไม่ลงรายละเอียดหุ้นรายตัว เพราะไม่ต้องการชี้นำราคาหรือบอกให้ใครเก็งกำไร

"หุ้นที่ขึ้นนั้นผมไม่ได้ผิดคำทำนายเลย ผมพูดก่อนที่นักวิเคราะห์ พิสูจน์ได้ทุกคำพูด " นายสนธิกล่าว

ทั้งนี้ รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่ออกอากาศทาง ASTV คืนวันที่ 23 มี.ค. 50 นั้นนายสนธิกล่าวว่า นักเล่นค่าเงินนั้นได้ตั้งราคาค่าเงินบาทไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าต้องแข็งถึง 32 บาทต่อดอลลาร์ เหมือนกับค่าเงินบาทปี 2540 ที่เขามาโจมตี เขาตั้งว่าประมาณ 32 บาท หรืออ่อนลง 7 บาท จาก 25 ไป 32 โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ครั้งนี้จาก 38 เขาตั้งไว้เหลือ 32 ก็คือ 6 บาท ส่วนต่างระหว่าง 6 กับ 7 บาท เพราะฝรั่งเขาจะตั้งระยะเวลาตายตัวว่าถ้าแข็งเท่านี้ อ่อนเท่านี้ กำไรเท่านี้ ก็พอ

“ส่วนตลาดหุ้น ทำไมผมถึงเดาว่าจะตกไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนพฤษภา-มิถุนา แล้วจะค่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งไตรมาสแรกปีหน้า ก็เพราะว่ารองประธานเอสแอนด์พีและมูดี้ส์ เป็นคนให้สัมภาษณ์เองว่า ตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ ผลกำไรอีพีเอส ยังถือว่าสูงสุดอันดับ 3 ของโลก เพราะฉะนั้นราคาหุ้นเมืองไทยยังต่ำอยู่ ผมถามว่าคนอย่างรองประธานเอสแอนด์พี รองประธานมูดี้ส์ มายุ่งอะไรเรื่องเมืองไทย หมอนี่คือหัวเบี้ยเป็นนายบ่อน นายบ่อนการพนัน กำลังส่งสัญญาณไปให้พวกเดียวกันทั่วโลก บอกเฮ้ยตลาดหุ้นไทยน่าเล่นได้อยู่ เพราะฉะนั้นแล้วคุณรอดูซิ พอค่าเงินบาทแข็ง พวกนี้ตอนนี้เล่นค่าเงินก่อน แล้วเอาส่วนต่างค่าเงิน ออนชอร์ ออฟชอร์โดยซื้อหุ้นที่เมืองไทยบ้างแล้วขายออก เอาเงินบาทมาซื้อขายออกเป็นดอลลาร์เอามาแลกที่เมืองไทยแล้วกำไร 3 บาท มันจะเล่นแบบนี้ แต่คอยดูซิ พอค่าเงินบาทเริ่มอ่อน พวกนี้จะเข้ามาช้อนหุ้นแล้ว” นายสนธิกล่าวเมื่อวันที่ 23 มี.ค.

ทั้งนี้ตลาดเงินตราต่างประเทศหรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท แยกเป็น 2 ตลาด คือ ตลาดเงินตราต่างประเทศในประเทศ (ออนชอร์) กับตลาดเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ (ออฟชอร์) เป็น ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วต่างกันอยู่ราว 3 บาท

กสิกรฯคาดหุ้น-บาททะยานต่อ

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ว่า ดัชนียังคงมีโอกาสได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นสัปดาห์ จากการคาดการณ์เกี่ยวกับการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาท ประกอบกับปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เริ่มมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีอาจเริ่มจะเผชิญกับความเสี่ยงจากการปรับฐาน หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก และอาจเริ่มมีการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรก่อนการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์

ส่วนเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.80-34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จุดสนใจของนักลงทุนอยู่ที่สัญญาณการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ประเด็นทางการเมืองที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ตลอดจนการขายเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออก อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงระมัดระวังต่อสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. หลังจากเงินบาทปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีในสัปดาห์ที่ผ่านมา และทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.