ผวาเงินร้อนถล่มตลาดหุ้น โฆสิตสั่งจับตา-โบรกฯงง


ผู้จัดการรายวัน(5 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหุ้นไทยร้อนสุดๆ เดินหน้าทำสถิติใหม่อีก นักลงทุนต่างชาติเก็บเพิ่มเกือบ 6 พันล้าน แค่ 3 วันซื้อสุทธิกว่า 1.6 หมื่นล้าน “โฆสิต” เตือนนักลงทุนระวังผันผวนรุนแรง เผยภาครัฐจับตาใกล้ชิดเงินที่ไหลเข้า นายกสมาคมโบรกเกอร์ หวั่นต่างชาติพร้อมใจเทขายเก็งกำไรชี้ฉุดตลาดหุ้นทรุดแน่เหตุยอดซื้อย้อนหลัง 3 ปีมากกว่า 2 แสนล้าน ด้าน "ภัทรียา" แนะนักลงทุนซื้อหุ้นต้องรอบคอบ ขณะที่บรรดาโบรกเกอร์ ยังงงไม่หาย หุ้นขึ้น 3 วัน 50 จุด สวนทางปัจจัยการเมืองยังไม่จบ

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ก.ค.) ดัชนตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้ 3 วันทำการดัชนีบวกไปแล้วเกือบ 50 จุด หลังนักลงทุนต่างชาติเป็นทุ่มซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ไม่หยุด แต่การปรับขึ้นในรอบนี้ของดัชนีสร้างความกังวลงให้กับผู้ที่อยู่ในแวดวงมายาวนานว่า หากมีการเทขายออกมาพร้อมกันของนักลงทุนต่างชาติชะตากรรมของตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร

ล่าสุด วานนี้ (4 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 825.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด หรือ 1.47% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 829.57 จุดและต่ำสุดอยู่ที่ 811.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,037.60 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5,829.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 855.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,953.98 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในระยะเวลาเพียง 3 วันทำการนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 16,183.72 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 275.50 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 16,459.22 ล้านบาท

"โฆสิต"โยนธปท.สอบเงินซื้อหุ้น

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนภาคอุตสาหกรรมจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การปรับตัวขึ้นอย่างผันผวนนักลงทุนเองต้องระมัดระวัง ส่วนการที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากจนมองว่าหากเป็นความผันผวนหรือภาวการณ์รุนแรงนักลงทุนก็ควรต้องระมัดระวัง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเข้มแข็ง คงไม่มีผลกระทบอะไรมาก ส่วนภาครัฐจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

“คงต้องช่วยกันดูเพราะการเข้ามาของเม็ดเงินในตลาดหุ้นซึ่งคาดว่าขณะนี้คงจะมีราว 3-4 หมื่นล้านบาท อาจเป็นไปได้ว่าเป็นโอกาสที่เศรษฐกิจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นหรืออาจเป็นเงินทุนระยะยาวที่เข้ามาได้ เรื่องนี้ต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่ง”

พร้อมกันนี้ นายโฆสิต ได้กล่าวปฏิเสธว่า เงินที่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 50 ไม่ใช่เงินที่ทาง คตส.ตรวจสอบอยู่ เพราะเงินที่ติดตามอยู่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่เงินที่เข้ามาช้อนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีไม่มากเท่านั้น อยู่ในกลุ่มหุ้นของบลูชิพซึ่งมีพื้นฐานดี

“เราจะขอเวลาติดตามดูแหล่งเงินอีกสักระยะ ว่าแหล่งที่มีเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่ แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นภารกิจโดยตรงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องติดตาม ส่วนเรื่องการลงทุนจริงๆ ต้องดูระยะยาว”

นายกฯโบรกเตือนระวังผันผวน

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างร้อนแรงอาจจะทำให้มีการปรับฐานในช่วงเร็วๆ นี้ แต่หากนักลงทุนต่างชาติที่เป็นกลไกสำคัญของตลาดหุ้นยังมีความมั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจะยังสามารถดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาได้อีก

ทั้งนี้ ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงหากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาสูงมากกว่า 2 แสนล้านบาทจะพร้อมใจขายหุ้นไทยออกมา เนื่องจากมีข่าวไม่ดีเข้ามากระทบความมั่นใจ ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง แต่มีโอกาสไม่มากนักที่ต่างชาติจะพร้อมใจเทขาย เพราะตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ แต่อาจจะมีการเทขายทำกำไรออกมาบ้าง

“ถ้าต่างชาติขายหุ้นออกไปแล้ว เงินอาจจะวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ แต่สุดท้ายเชื่อว่าจะต้องกลับมาเพราะตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจจากราคาหุ้นที่ถูกมาก ขณะที่ปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหรือซื้อ คือ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่การเมืองจะประเมินเพียงแค่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจเท่านั้น"นายกัมปนาท กล่าว

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนจะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยจะต้องพิจารณาจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก และควรเน้นการลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เนื่องจากการปรับตัวในช่วงสัปดาห์นี้รุนแรงมาก

“นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้หลายฝ่ายจับตาการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร”


โบรกฯงงหุ้นขึ้นพื้นฐานไม่เปลี่ยน

แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีในรอบนี้จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเกิดจากชัดเจนทางการเมืองที่มีมากขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมยังอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตได้ ทำให้ไม่เข้าใจว่าในรอบนี้ที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 50 จุดในช่วง 3 วันสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของประเทศจริงหรือไม่

“หากดัชนีจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น คงไม่ได้สร้างความแปลกใจ เพราะราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดมาโดยตลอด แต่การปรับขึ้นแบบช่วง 3 วันที่ผ่านมานั้นไม่มีเหตุผลที่รองรับเพียงพอ อาจจะเป็นการพยายามสร้างความสนใจว่าเศรษฐกิจไทยพร้อมจะเติบโตขึ้น แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ทหารเข้ามามีอำนาจในการดูแลประเทศ”

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตอนนี้นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ซึ่งน่าจะเกิดมาจากความต้องการเข้ามาเก็งกำไรให้ราคาหุ้นเท่ากับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน เพื่อลดช่องว่างผลตอบแทนระหว่างตลาดไทยกับตลาดภูมิภาค

ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ถึงระดับเพียง 820-840 จุด ยกเว้นจะมีปัจจัยบวกเสริมมาจากตลาดต่างประเทศเข้ามา แต่ถ้าไม่มีปัจจัยจากต่างประเทศเข้ามาเสริมซึ่งเมื่อดัชนีเพิ่มขึ้นไปถึง 840 จุด อาจจะมีการพักฐานและเกิดการชะลอการเติบโตของดัชนีต่อเนื่องจนกว่าจะมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่าการทำประชามติจะผ่านหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ถ้าประชามติว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เพราะแม้จะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับอื่นขึ้นมาแก้ไขและประกาศใช้แทน แต่ก็ไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากนัก ซึ่งจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 800 จุด

ปรับกำไรบจ.จากลบเป็นบวก

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ความชัดเจนในหลายประเด็นที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มอย่างโดดเด่นจากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดย 3-4 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้วมากกว่า 3 แสนล้านบาท รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเข้ามาซื้อสิทธิอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับประมาณการการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น จากเดิมที่คาดว่าในปีนี้อัตราการเติบโตของกำไรบจ.จะเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันได้ปรับมาอยู่ที่เติบโต 5%

ขณะที่ในปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรบจ.จะอยู่ที่ 15-20% เพราะต้นทุนในการผลิตสินค้าโดยเฉพาะราคาน้ำมันจะลดลงหลังไม่ต้องมีการชดเชยเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงอย่างน้อยลิตรละประมาณ 3 บาท ในส่วนของจีดีพีประเทศในปีนี้คาดว่าจะเติบโตจากเดิมที่คาดการณ์อยู่ที่ 3.8% และ 4.5%

"ปีหน้าต้นทุนสินค้าจะลดลง เพราะต้นทุนหลักในเรื่องราคาน้ำมันจะลดลง หลังไม่ต้องนำเงินเข้าไปชดเชยในกองทุนน้ำมันแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณลิตรละ 3 บาท"นายพงศ์พันธ์กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.