เดอะมอลล์ผนึกวีซ่า-ซิตี้แบงก์ออกบัตรเครดิตหวังโกอินเตอร์


ผู้จัดการรายวัน(4 กรกฎาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าทำตลาดเต็มสูบ ล่าสุดดึงซิตี้แบงก์ และวีซ่า ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท ผุดบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า หมายมั่นปั้นมือช่วยกรุยทางโกอินเตอร์แผนอนาคต ด้านแผนทำตลาดครึ่งปีหลัง อัดกิจกรรมเต็มที่ เชื่อดันยอดขายสิ้นปีทะลุ 43,000 ล้านบาท

นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของเดอะมอลล์กรุ๊ปนับจากนี้จะเดินหน้าทำตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงในตลาด ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือร่วมกับธนาคารซิตี้แบงก์ และวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า ที่สามารถใช้ได้กับศูนย์การค้าและร้านค้าชั้นนำทั่วโลก ซึ่งการทำตลาดโดยร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในด้านการทำตลาดการเงินทั่วโลกเชื่อว่าจะขยายเครือข่ายได้ในอนาคตซึ่งตรงกับคอนเซ็ปท์ในการไปขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย

สำหรับการร่วมกันเปิดตัวบัตรเครดิตทั้ง 2 ราย บริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณกับพันธมิตรใช้งบในการพัฒนาระบบไอทีและทำการตลาดประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์บัตรเครดิตดังกล่าวให้เป็นที่รู้จักในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ โดยในปีแรกจะใช้อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท หลังจากนั้นจะลดลงมาเหลือปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งงบที่ใช้จะแบ่งออกใช้สำหรับทำตลาดแต่ละช่วงให้ตรงกับความต้องการตลาดมากที่สุด

พร้อมกันนี้ภายหลังจากที่บริษัทได้เปิดตัวบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า อย่างเป็นทางการคาดว่าภายในระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้น่าจะมีจำนวนผู้ถือบัตรไม่ต่ำกว่า 300,000 ราย และเพิ่มเป็น 500,000 รายในปีที่ 5 ในขณะที่ภาพรวมของยอดรายได้ของศูนย์การค้าในเครือของบริษัททั้ง 3 แห่งไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติไม่ต่ำกว่า 10% เพราะนอกจากจะได้สิทธิพิเศษในการใช้บัตรดังกล่าวแล้วยังได้ส่วนลดนอกเหนืออีกประมาณ 5-10% เมื่อใช้บริการภายในศูนย์การค้าของบริษัททั้ง 3 แห่งอีกด้วย

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนใช้งบประมาณ 5% ของรายได้รวมเกือบ 40,000 ล้านบาทของปีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดทุกเดือนนับจากนี้ทั้ง 3 ศูนย์การค้าในกลุ่ม เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค

ในช่วงครึ่งปีหลังการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงและน่าจะลำบากขึ้นมากกว่าปีก่อนๆเนื่องจากการเมืองและราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทยังไม่มีความแน่นอนบริษัทได้รุกทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะผลักดันให้บริษัทมีรายได้รวมจากการบริหารศูนย์การค้าทั้ง 3 ยกตัวอย่าง ดิ เอ็มโพเรี่ยม ที่กำลังจะฉลองครบ 10 ปี และพารากอน ที่จะมีงานใหญ่ อาทิ เวิลด์วอท์ช บางกอกแฟชั่นวีค ไปจนถึงการครบรอบ 2 ปี อีกด้วย

นางสาวศุภลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ถ้าหากมีการเลือกตั้ง และไม่มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น เราน่าจะมีรายได้เติบโตมากกว่า 10% เนื่องจากเรามีการทำกิจกรรมการตลาดกระตุ้นกำลังซื้อของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละงานที่จัดคาดว่าจะใช้งบไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท จึงทำให้เราค่อนข้างมีความมั่นใจ แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะยังน่าเป็นห่วง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงปี 2540 มองว่าปีนี้ดีกว่า เนื่องจากเราสามารถผ่านช่วงวิกฤติตอนนั้นมาได้ ประกอบกับตอนนี้มีลูกค้านักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลางเข้ามาช้อปปิ้งในศูนย์การค้าของเราเพิ่มขึ้น และเป้าหมายที่วางไว้คงเป็นไปไม่ยากจนเกินไปนัก

สำหรับผลประกอบการปีนี้จากการทำตลาดของกลุ่มบริษัทฯเชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโต อยู่ที่ประมาณ 8-9% หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 43,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.