|

"ลอรีอัล"บุกตลาดความงามเต็มสูบสิ้นปีหวังโต 20%สูงสุดในรอบ5ปี
ผู้จัดการรายสัปดาห์(2 กรกฎาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ลอรีอัล ชูสินค้าในเครือ 15 แบรนด์เป็นเรือธง รุกตลาดความงามทุกช่องทางในปี'50 เผยตัวเลขครึ่งปีแรกพุ่ง 21% โตเป็นอันดับสองของเอเชีย พร้อมวางนโยบายบุกสกินแคร์-แฮร์แคร์ต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมส่ง "เมทริกซ์" ผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผม เจาะช่องทางซาลอนจับลูกค้าระดับแมส หลังจากต้นปีเข็น "แอลแซฟ" ลุยศึกแชมพูพรีเมียม-แมส ดูดแชร์ได้ 5% ภายใน 3 เดือน การบุกหนักครั้งนี้ลอรีอัลหวังโตถึง 20% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี
ด้วยศักยภาพของตลาดความงามในไทยมูลค่า 46,000 ล้านบาท ที่มีการเติบโตกว่า4 - 5% ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดดังกล่าวมีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีผู้เล่นทั้งหน้าเก่า รายใหม่แวะเวียนเข้ามาสร้างสีสันในตลาดนี้อย่างไม่ขาดสาย โดยตลาดความงามในไทยสามารถแบ่งออกเป็น ตลาดสกินแคร์ มีการเติบโต 12% ตลาดแฮร์แคร์ เติบโต 7% ตลาดแฮร์ คัลเลอร์ เติบโต 12% ตลาดเมคอัพ เติบโต 8% และตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายมีการเติบโต 50%
ทั้งนี้ "ลอรีอัล" 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจความงาม นับเป็นผู้เล่นที่บทบาทอย่างมาก เนื่องจากมีสินค้าที่มาชนกับคู่แข่งในทุกเซกเมนต์ และครอบคลุมทุกช่องทาง ตั้งแต่ แมส, เคาเตอร์แบรนด์, ซาลอน และร้านขายยากับโรงพยาบาล ซึ่งลอรีอัลล้วนให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและทำตลาดกับผู้บริโภคในทุกช่องทาง ที่ปีนี้ได้วางนโยบายจะทำตลาดกับสินค้า 15 แบรนด์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผม เห็นได้จากการเตรียมลอนช์ "เมทริกซ์" ผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมที่ลอรีอัลจะนำเข้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางซาลอน โดยจะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเจาะลูกค้าระดับแมส จากเดิมที่การทำตลาดช่องทางร้านเสริมสวย หรือช่องทางซาลอน ลอรีอัลจะมี "เคเรสตาส" ราคาแชมพูขวดละประมาณ 900 บาท จับลูกค้าระดับพรีเมียม กับ "ลอรีอัล โปรเฟรชชันแนล" ราคาแชมพูขวดละประมาณ 500 บาท จับลูกค้าระดับกลาง ดังนั้น "เมทริกซ์" ที่มีราคาประมาณ 300 บาท จึงเป็นจิ๊กซอว์มาช่วยเสริมทัพให้ลอรีอัลมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการบุกตลาดซาลอน จากตอนนี้ที่ลอรีอัลครอบคลุมร้านทำผม 2,000 แห่งจากทั้งหมด 10,000 แห่ง
"กลยุทธ์ของลอรีอัลปีนี้ จะเน้นผลักดันสินค้าที่เราเชื่อว่ามีศักยภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และกลุ่มแฮร์แคร์ พร้อมทุ่มงบการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลักเมื่อเทียบกับปีก่อน" เป็นคำกล่าวของ ฌอง ฟิลิปป์ ชาร์ริเย่ร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ลอรีอัลมั่นใจลอนช์สินค้าเพื่อเส้นผมครั้งนี้ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากความสำเร็จในการเข็น "แอลแซฟ(Elseve)" เข้ามาทำตลาดอีกครั้งในช่องทางแมสเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยวัดจากการคว้าส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 5% ภายใน 3 เดือน ทั้งที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งในตลาด 15% ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกับแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาร่วมแจมในตลาดด้วยระยะเวลาเท่านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นลอรีอัลเคยนำเข้าและถอดแบรนด์ "แอลแซฟ" ออกไปเมื่อราว 7 - 8 ปีก่อน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ราคาสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตอนนั้น ซึ่งผู้บริโภคยังไม่มีความเข้าใจหรือยอมรับได้เหมือนปัจจุบัน ซึ่งยากต่อการแข่งขันโดยเฉพาะกับโลคัล แบรนด์
"แบรนด์แอลแซฟสามารถดึงแชร์ได้ 5% ภายในเวลา 3 เดือน เร็วกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ โดยมาจากการสวิตส์ของลูกค้ากลุ่มแมสและลูกค้าร้านซาลอน" สดับพิณ คำนวณทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ทว่า ปัจจุบันผู้บริโภคความเข้าใจ และมีพฤติกรรมให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาเส้นผมมากขึ้น ส่งผลให้ "แอลแซฟ" ที่มีโพซิชันนิ่งเป็นแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญการดูแลเส้นผม (Expert Care Brand) ได้การตอบรับเป็นอย่างดี แม้จะมีการสื่อสารให้ผู้บริโภคดูแลผมมากถึง 4 ขั้นตอน คือ การทำความสะอาด การซ่อมแซมเส้นผมด้วยแฮร์แพคชนิดล้างออกหลังสระผม การปกป้องเกล็ดผมด้วยคอนดิชันเนอร์ชนิดล้างออก และการใช้ลีฟ-ออน ทรีทเม้นท์บำรุงเป็นขั้นตอนสุดท้าย และเพื่อเชื่อมแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าคนไทยได้ดียิ่งขึ้น ลอรีอัลฯจึงให้สินจัย เปล่งพานิชมาร่วมแคมเปญโฆษณากับพรีเซนเตอร์จากต่างประเทศด้วย เช่น เพเนโลเป้ ครูซ และเอลา ลองโกเลีย
ขณะที่สินค้ากลุ่มอื่นๆ เช่น สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย บริษัทก็จะมีการผลักดันและออกนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อความงามในไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยพบว่า พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของผู้หญิงไทยเพิ่มเป็น 2 - 3 ชิ้นต่อคน จากเมื่อ 10 ปีก่อนที่ใช้เพียง 1 คนต่อ 1 ชิ้น ซึ่งอนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาเป็น 5 - 6 ชิ้นต่อคน
สำหรับการวางแผนบุกหนักในปีนี้ ลอรีอัลฯเชื่อว่าจะช่วยให้สามารถเติบโตขึ้น 20% เทียบกับปีก่อน ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยครึ่งปีแรกตัวเลขขยับแล้ว 21% สูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากจีน ทั้งนี้รายได้ของลอรีอัลฯ มาจาก 4 ช่องทาง ประกอบด้วย ตลาดแมส ที่ทำรายได้หลัก ช่องทางห้างสรรพสินค้า ช่องทางร้านซาลอน และช่องทางโรงพยาบาลและร้านขายยา
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|