ตราบใดที่ปัญหาปูนขาดแคลนอยู่ ตลาดก็ยังเป็นของผู้ผลิต และบริษัททีพีไอโพลีน-โรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่สี่ของประเทศไทยที่มีเจ้าของเป็นคนในตระกูล
"เลี่ยวไพรัตน์" ก็เริมเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว จนกระทั่งมีข่าวว่าในเดือนพฤศจิกายนศกนี้
ผู้บริหารบริษัททีพีไอ โพลีนก็จะนำเข้าปูนเม็ดจากปอร์ตแลนด์และจีนแดงเข้ามาบดเป็นปูนผงขายใส่ถุงปูนซีเมนต์
ที่เป็นโลโก้พระอาทิตย์ทอแสงเจิดจ้า
กว่าจะคิดค้นโลโก้ปูนตราพระอาทิตย์นี้ขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงถกเถียงกันมากว่าจะทำอย่างไรให้ฉีกแนวแตกต่างไปจากตราสิงสาราสัตว์ที่คู่แข่งมีอยู่
"ผมก็แนะนำเขาว่าให้ใช้ตราทีพีไอ เพราะใคร ๆ ก็รู้จักยอมรับกันแล้ว
จากนั้นก็แบ่งเป็นสีแดง สีเขียว สีเหลืองสำหรับปูนแต่ละประเภทเช่นปูนฉาบ
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงใจ" สรร อักษรานุเคราะห์ รองประธานบริหารของบริษัทเล่าให้ฟัง
ในที่สุดประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัททีพีไอโพลีนก็ได้ตราพระอาทิตย์มีการวางแผนทำ
PRE MARKETING เพื่อทดสอบการตลาดในระยะแรก
โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของทีพีไอโพลีนนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างบริษัทปูนซีเมนต์ไทย
และบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงบนที่ดินขนาด 1,786 ไร่ที่จังหวัดสระบุรี เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า
7,300 ล้านบาท มีขนาดกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี โดยประชัยเลือกใช้เครื่องจักรของ
KRUPP POLYSIUS ของเยอรมนี
ส่วนปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรในอุตสาหกรรมก่อสร้างนี้ ก็ทำให้มีการซื้อตัวมืออาชีพและฝ่ายช่างปฏิบัติการจากหลายแหล่งมาประจำอยู่ที่โรงปูนทีพีไอ
อาทิเช่น มีการเคลื่อนย้ายวิศวกรบางส่วนจากชลประทานซีเมนต์หรือปูนนครหลวงบ้างไปอยู่ที่ใหม่
โดยได้รับเงินเดือนมากกว่าที่เดิมสองเท่าตัว
ด้านแหล่งวัตถุดิบของโรงปูนแห่งใหม่นี้ ดร.โกศล สินธวานนท์ กรรมการรองผู้จดการใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า
เป็นแหล่งหินปูนหินดินดาลที่สามารถผลิตปูนได้นานนับ 100 ปีและได้มีการขอสัมปทานไปแล้ว
151 แปลง ๆ ละ 200-300 ไร่ และล่าสุดคณะกรรมการตามพรบ.แร่อนุมัติประทานบัตรทำแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมที่จังหวัดสระบุรีจำนวน
895 ไร่รวม 3 แปลงแก่ทีพีไอโพลีนด้วย
อย่างไรก็ตาม "การเกิดย่อมเจ็บปวดอย่างทรมาน" เฉกเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของทีพีไอ
โพลีนที่ต้องผจญกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดมูลค่านับแสนล้านบาท
"ระหว่างที่เราทำการติดตั้งเครื่องจักร และจะทดลองทำการบดปูนผงออกขายในราวปลายปีนี้เราก็เคยติดต่อขอซื้อปูนซีเมนต์จากสองโรงที่อยู่ข้าง
ๆ แต่เขาบอกว่า ถ้าจะซื้อให้ไปซื้อจากกรุงเทพเอง" แหล่งข่าวเล่าให้ฟังว่าประชัย
เลี่ยวไพรัตน์ ชักมีอารมณ์เมื่อเจอลูกเล่นแบบนี้
"ประชัยเป็นคนพูดแรงเสมอ นิสัยค่อนข้างใจร้อนด้วยซ้ำ ตามแบบธรรมเนียมคนจีนแต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักสู้ตัวจริงคนหนึ่ง"
แหล่งข่าวเล่าให้ฟัง
ดังนั้นทางออกของประชัยก็คือการนำเข้าปูนเม็ดจากต่างประเทศ เช่นปอร์ตแลนและจีนแดง
มาบดเป็นปูนผงบรรจุถุงวางขายแข่งกับคู่แข่ง
ตามแผนการในอนาคตประชัยไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่โรงงานแห่งแรกที่จะเริ่มเดินเครื่องผลิตในประเทศราวกลางปี
2535 แต่ทีพีไอ โพลีนยังได้แตกหน่อไปทำอีกหลายโครงการ เป็นลักษณะการทำให้ครบวงจรของวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ทีพีไอได้มีการลงทุนเพิ่มอีก 40 ล้านบาทจัดตั้งบริษัททีพีไอ คอนกรีตที่เน้นการผลิต
การค้าการรับจ้างผลิตคอนกรีตผสมเสร็จและวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ โดยทีพีไอเข้าไปถือหุ้น
99 % และจะเริ่มดำเนินการพร้อมกับที่โรงปูนทีพีไอเดินเครื่อง
"จุดประสงค์หลักของทีพีไอก็ต้องการให้ทีพีไอ คอนกรีตรองรับปูนซีเมนต์จากโรงปูนใหญ่ของทีพีไอที่จะแล้วเสร็จกลางปีหน้านี้"
ดร.โกศลกล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่จะป้อนให้กับบริษัทดังกล่าวควบคู่กับการขนส่งและบริการให้กับลูกค้า
ด้วยการลงทุนซื้อรถขนส่งเพิ่มอีกนับร้อยคัน
ภายใน 5 ปีต่อจากนี้ไปภาวะการแข่งขันเป็นที่คาดว่าจะรุนแรงยิ่งข้น เมื่อผู้ผลิตรายใหม่รายอื่นเช่น
วิศณุซีเมนต์ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน ปูนซีเมนต์เอเซียของโสภณพนิช
(1.35ล้านตัน) อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์กรุงเทพ (1.3ล้านตัน) และสหซีเมนต์ที่จะผลิตในปี
2537 อีก 1.8 ล้านตัน
ถึงกระนั้นผู้บริหารทีพีไอก็ยังคิดว่าไม่มีปัญหา เมื่อเห็นอนาคตปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในภาครัฐและเอกชนก็ยังขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งปีละไม่ต่ำกว่า
10 % (ในปี 32 ขยายตัวสูงถึง 30 %) ขณะที่ปริมาณการผลิตของยักษ์ใหญ่ทั้งสามโรงปูนนั้นทำได้
15.15 ล้านตันซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการที่มีถึง 16.45 ล้านตันในปีที่แล้ว
ยิ่งมีการเกิดขึ้นของโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของรัฐบาล เช่น โครงการทางด่วนขั้นที่สองมูลค่า
7,662 ล้ายบาท ที่เพิ่งจะเริ่มปี 2533 และจะสิ้นสุดปี 2536 ก็ยิ่งทำให้ "ผู้มาใหม่"
อย่างทีพีไอไม่วิตกกังวลเลย และยังมีแผนคิดการณ์ไกลจะไปตั้งโรงงานใหม่แห่งที่สองและโรงงานใหม่ที่ประเทศเวียดนามในอนาคตอีกด้วย
!!