ด้วยวัยเพียง 45 ปีสุนทร อรุณานนท์ชัย พบกับความตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างชนิดที่เขาคาดไม่ถึงเมื่อ
4 ปีก่อน เขาใช้เวลาเลียแผลอยู่นานทีเดียว แล้วเขาก็กับมาผงาดอีกครั้งกับธุรกิจที่ดินของซีพี
เส้นกราฟชีวิตของเขายังจะต้องวิ่งขึ้นสู่สูงชันอีกครั้ง ตัวเขาเองก็คงจะร่ำรวยอีกมาหากเขาไม่สะดุดเหมือนคราวก่อนอีก
"พระบอกว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยสะดุด" นั่นเป็นคำปลอบใจตัวเองสำหรับ
สุนทร อรุณานนท์ชัย นักการเงินมืออาชีพและนายหน้าพัฒนาธุรกิจที่ดินมือฉกาจที่มีเส้นกร๊าฟชีวิตวิ่งขึ้นตรงด้วยความเร็ว
และแรงอย่างชนิดที่หาคนในรุ่นราวคราวเดียวกันเทียบยาก
แต่ก็เป็นอย่างที่พระเคยบอกเขา และเขาก็จำมันไว้มาบอกเพื่อนสนิท ๆ เมื่อเขาต้องมาพลาดครั้งแรกในตำแหน่งที่เรียกว่าสูงสุดแล้วในอาชีพนี้คือกรรมการผู้จัดการธนาคาร
เรื่องมันเข้าทำนอง "หมองูตายเพราะงู" สุนทรซึ่งมีภูมิหลังเป็นนักการเงินก็ต้องมาพลาดท่าเสียทีด้วยเรื่องเงิน
ๆ ทอง ๆ แท้ ๆ
แน่นอนไม่มีใครอยากจะจำมันอีกต่อไป โดยเฉพาะสุนทร อรุณานนท์ชัย จนปัจจุบันนี้ตัวเขาเาองก็ไม่ติดใจที่จะแก้ข้อกล่าวหาในมุมของเขาบ้างว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น
เหมือนกับว่าอยากจะให้ลืม ๆ ไปกับกาลเวลาอันเป็นเสมือนน้ำยาลบหมึกชั้นดี
นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
มาวันนี้ดูเหมือนชีวิตสุนทรจะวิ่งขึ้นสู่เส้นกร๊าฟอันสูงชันอีกครั้งหนึ่งที่ใคร
ๆ ก็ให้ความสนใจอย่างมาก
ปี 2534 สุนทรและครอบครัวกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่ง และดูแลการบริหารกิจการถึง
4 แห่ง คือโรงงานน้ำตาลราชบุรีซึ่งขณะนี้ทำกำไรให้แก่เขาปีละหลายร้อยล้านบาท
โรงงานผลิตรองเท้าในนามบริษัท ออเรียนทัลฟุทแวร์ บริษัทหลักทรัพย์ยูเนี่ยน
บริษัทเงินทุนยูเนี่ยนไฟแนนซ์ซึ่งอารยา อรุณานนท์ชัย ภรรยาของเขาเป็นผู้ดูแลและบริษัทสยามนำโชคซึ่งตัวเขาเองเปิดตัวในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
โดยเฉพาะบริษัทหลังสุดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ประเภทธุรกิจพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นที่จับตามองของคนในวงการอย่างมาก
การแจ้งเกิดใหม่ของสุนทรในวัยที่กำลังจะวิ่งผ่านเลข 50 ดูจะเปลี่ยนไปจากเดิม
แต่ในเนื้อหาแล้วยังเหมือนเดิม
สุนทรเรียนจบชั้นต้นที่อัสสัมชัญพาณิชย์ เคยสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศได้คณะบัญชีทั้งจุฬาและธรรมศาสตร์
แต่สุนทรเลือกเรียนที่จุฬา เรียนได้ไม่นานสอบทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้
ที่สหรัฐอเมริกาเขาเลือกเรียนการบริหารโรงงานอุตสาหกรรมที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ
จากนั้นก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่นิวยอร์ค โดยกลางวันทำงานกลางคืนเรียนหนังสือ
แต่ดูจะไม่ไหวเขาจึงกลับมาเรียนที่อาร์คันซออีกครั้งหนึ่งจนจบปริญญาโททางการเงิน
เกียรตินิยม) ทางมหาวิทยาลัยให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือและเรียนระดับปริญญาเอกต่อ
แต่เรียนไปได้เพียงนิดเดียวก็กลับเมืองไทยตามคำเรียกร้องของครอบครัว
สุนทรกลับมาเมืองไทยเข้าทำงานกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่
ๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 70
ในทิศโก้สุนทรทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการคู่กับ ชุมพล ณ ลำเลียง
โดยชุมพลดูแลทางด้านการวิเคราะห์ธุรกิจส่วนสุนทรดูทางด้านสินเชื่อ
สุนทรได้เรียนรู้งานทางด้านธุรกิจ MERCHANT BANKING (โดยผ่านแบงก์เกอร์ทรัสต์)
และธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งทิสโก้เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่นำเข้าเผยแพร่ในประเทศวไทย
เพราะขณะนั้นทิสโก้ได้ร่วมลงทุนกับสถาบันการเงินฝ่ายไทยตั้งตลาดหลักทรัพย์กรุงเทพหรือ
BANGKOK STOCK EXCHANGE ขึ้นมาเป็นสถาบันในการซื้อขายหุ้นก่อนที่จะมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเสียอีก
นอกจากนี้ยังทำให้เขามีสายสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้น กรรมการ และลูกค้าของทิสโก้ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของเมืองไทยทั้งสิ้น
สุนทรอยู่ทิสโก้ได้ 5 ปีก็ลาออกไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเชียของชาตรี
โสภณพนิช
จากบริษัทเล็ก ๆ เขาสร้างมันขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ของ ชาตรี
โสภรณพนิช จนกลายเป็นบริษํทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในเวลาต่อมา
ตัวเขาเองก็เลื่อนขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหารซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดแล้วสำหรับมืออาชีพการเงินอย่างเขา
บารมีของสุนทรีสูงเด่นในวงการธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์เมื่อสมัยเขานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทเงินทุน
และเป็นรองประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ที่กรรมการภาคราชการมักจะเกรงใจและเห็นด้วยกับแนวความคิดของเขาเสมอ
บางคนถึงกับพูดว่า สุนทร อรุณานนท์ชัย คือประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตัวจริงใจสมัยนั้น
เขามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของ
สิริลักษณ์ รัตนากร ก่อนที่ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์จะเข้ามาแทนจนถึงปัจจุบัน
ในยามที่ประธานและผู้จัดการตลาดไม่อยู่ สุนทรก็จะเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งนั้นแทน
"การผลักดันให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ในสมัยนั้นเรียกได้ว่าสุนทรมีบทบาทอย่างมาก
เขาเป็นคนที่คิดอะไรไกลและวางหมากเพื่อเปิดโอกาสให้ ตัวเองไว้หลายชั้นเสมอ
รวมถึงการแก้ไขกฎ ระเบียบ ต่าง ๆ ของตลาด ผมว่าการที่ฝ่ายเอกชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทสมาชิกาเข้าไปมีบทบาท
ในตลาดได้มากขึ้นในขณะนี้ก็เป็นผลมาจากการวางหมา การวางกติกาของสุนทรมาในอดีต
"คนที่เคยใกล้ชิดกับสุนทรเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
ถ้าจะเทียบอย่างทุกวันนี้ในแง่ความเชื่อถือ สุนทรในวันนั้นก็คือ วิโรจน์
นวลแข ในวันนี้
จะต่างกันอยู่บ้างก็ตรงที่วิโรจน์เป็นคนมีภาพพจน์ที่สะอาด ขณะที่สุนทรไม่ได้ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ธนาคารมหานคร 2529 สุนทร ก็ได้รับทาบทามให้เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารมาหานครจากกล่มผู้ถือหุ้นอย่ง
ชาตรี โสภณพนิช สมาน โอภาสวงศ์พัชรี ว่องไพทูรย์ และ เกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง
ท่ามกลางการยอมรับของคนระดับสูงในแบงก์ชาติ
มีหรือที่สุนทรจะไม่รับ ในเมื่อมันก็เป็นอีกจังหวะหนึ่งของชีวิตที่น่าสนใจ
เพราะงานนี้ถ้าเขาสร้างมหานครฟื้นตัวขึ้นมาสำเร็จมันจะดีเลิศสำหรับเขามาก
ๆ
แต่โชคชะตาคนเรามักเล่นตลกเสมอ สุนทรเข้าไปมหานครยังไม่ทันข้ามปีเขาก็ต้องลาออก
เพราะไปมีเรื่องถูกกล่าวหาจากพนักงานว่า "เบี้ยวค่าคอมมิชชั่น"
ในการขายหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่แบงก์ชาติใช้คำว่า "มัวหมอง"
กับกรณีที่เกิดขึ้นกับเขา
แต่สำหรับคนที่เข้าใจสุนทรดีจะบอกว่า "หมองูก็ต้องพลาดพลั้งโดดงูกัดเข้าสักวันหนึ่งเป็นธรรมดา"
แต่น่าเสียดายที่สุนทรต้องมาตายน้ำตื้นมากเกินไปเท่านั้นเอง
สุนทรหายไปจากวงการธุรกิจการเงินนานหลายปี
สุนทรและอารยา อรุณานนท์ชัย ภรรยาคู่ทุกคู่สุขของเขาได้ช่วยกันปลุกปั้นโรงงานน้ำตาลราชบุรีที่เรียกว่าตายไปแล้ว
ให้ฟื้นขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
อารยา เป็นนักเรียนทุนของธนาคารกสิกรไทยและเป็นนักบัญชีการเงินที่เก่งเอามาก
ๆ คนหนึ่ง ตำแหน่งสุดท้ายของเธอในกสิกรไทยคือรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและแผนซึ่งรายงานตรงต่อ
บัญชา กับบรรยงค์ ล่ำซำ
ทั้งสองพบและรักกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่สหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาเมืองไทยจึงได้แต่งงานกัน
โรงงานน้ำตาลราชบุรีเดิมชื่อโรงงานน้ำตาลราชบุรีอุตสาหกรรม ซึ่งมีกลุ่ม
วัลลภ ธารวณิชยกุล และวิชัย มาลีนนท์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และบริหารร่วมกันกับ
กีรติ อรุณานนท์ชัย ญาติห่าง ๆ ของสุนทรนั่นเอง
แน่นอนโรงงานน้ำตาลแห่งนี้ใช้เงินกู้จากธนาคารเอเชียทรัสต์ของวัลลภหรือจอห์นนี่มาร์
วงเงินประมาณ 800 ล้าน
เมื่อธนาคารเอเชียทรัสต์มีปัญหาจะล้มละลาย แบงก์ชาติจึงเข้าควบคุม แหล่งเงินที่เคยได้รับมาหมุนในกิจการโรงงานก็หยุดชะงักลง
และยิ่งกว่านั้นคณะผู้บริหารชุดใหม่ของเอเชียทรัสต์เตรียมจะเข้าไปยึดเอาด้วย
ฐานที่เป็นบริษัทของผู้บริหารเดิม
ประกอบกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกขณะนั้นตกต่ำอย่างหนัก ผู้บริหารชุดใหม่ก็เลยขายให้แก่สุนทรไปในราคาถูก
ๆ เพียง 500 ล้าน
"น้ำตาลดิบในสต็อคเวลานั้นมีค่าประมาณเกือบ 300 ล้าน สินทรัพย์ถาวรมี
500 ล้านรวมแล้วตก 800 ล้าน ซึ่งพอ ๆ กับมูลหนี้ แต่ความที่สุนทรช่วยเจรจาประนีประนอมหนี้ของช่อง
3 สำเร็จก็เลยได้โบนัสโรงงานน้ำตาลนี้ไปใน ราคาถูก ๆเป็นการตอบแทน"
พีรพงศ์ สาคริกเล่าให้ฟัง
เช่นนี้แล้วมีหรือคนอย่างสุนทรจะไม่รีบคว้าไม่ทันที
ความจริงปัญหาของโรงงานน้ำตาลราชบุรีมีไม่มาก ว่ากันที่จริงราคาน้ำตาลตกต่ำนี่ก็โดนกันทุกโรงงาน
ปัญหาใหม่ก็คือว่าโครงสร้างเงินกู้ที่ผูกกับแบงก์เอเชียทรัสต์มากและก็เหมือนกับโรงงานน้ำตาลอื่น
ๆ คือมีการดับเบิ้ลแพ็คกิ้งเครดิต
อย่างไรก็ตามทรัพย์สินของโรงงานน้ำตาล ขณะที่ซื้อขายนั้นนอกจากจะมีตัวโรงงานแล้ว
ยังมีน้ำตาลอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งประเมินราคาซื้อขายกันตามตลาดโลกซึ่งต่ำมาก
แต่พอซื้อมาแล้วเรียบร้อยปรากฎว่านำมาขายตลาดในประเทศซึ่งสูงกว่ากันเป็นเท่าตัว
เพียงแค่นี้สุนทรก็ได้กำไรไปแล้วเหนาะ ๆ
สุนทรกับอารยาใช้เทคนิคทางการเงนจัดระบบที่เขาทั้งสองชำนาญเข้าไปแก้ไขปัญหาโรงงานน้ำตาลราชบุรี
จากนั้นก็นั่งกินกำไรอย่างเดียว โดยเฉพาะในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกพุ่งขึ้นสูงอย่างน่าพอใจ
"รายได้เข้าครอบครัวสุนทรในทางนี้ก็มากทีเดียว" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเรื่องนี้กล่าว
โชคชะตาคนเรามักเป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งมีขึ้นบางครั้งมีลงสุนทก็ตกอยู่ในข่ายนี้เหมือนกัน
"ช่วงที่สุนทรได้รับบาดแผลมาจากมหานครใหม่ ๆ นั้นคนที่โทรศัพท์ไปหาเขาคนแรก
ๆ ไม่ใช่ใคร เขาคือ ดำหริ ดารกานนท์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท สหยูเนี่ยนนั่นเอง
เพื่อปลอบใจ และให้กำลังใจ พร้อมกับเปิดทางให้สุนทรเข้ามาทำอะไรก็ได้ในสหยูเนี่ยน"
คนใกล้ชิด สุนทรคนเดียวกันบอกกับ "ผู้จัดการ" ถึงจุดต่อของสุนทรกับดำหริ
แล้วมีหรือที่สุนทรจะยอมพลาดโอกาสอันงามที่ดำหริเสนอ
ความจริง สุนทร อรุณานนท์ชัย รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของ ดำหริ จงรัก
ดารกานนท์ มานานกว่า 20 ปี ซึ่งขณะนั้นสุนทรเพิ่งจะอายุเพียง 26 ปี แต่มีตำแหน่งเป็นถึง
รองกรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ดูแลบัญชีลูกค้ารายที่ชื่อว่าบริษัทหสยูเนี่ยนมาตั้งแต่ตัน
ซึ่งมีดำหริเป็นผู้จัดการจงรักษ์เป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี
สหยูเนี่ยนเป็นลูกค้าของทิสโก้โดย มี สุนทร อรุณานนท์ชัย เป็นผู้ดูแลบัญชีลูกค้ารายนี้จนกระทั่งเขามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเชียก็ยังให้บริการแก่กันอยู่
สุนทรมักจะเล่าถึงความสัมพันธ์ที่เขามีต่อสหยูเนี่ยมว่าเขาดูบัญชีนี้มาตั้งแต่ทุนจดทะเบียน
10 ล้านบาท การเพิ่มทุนของบริษัททุกครั้งเขาเป็นคนดำเนินการให้หมด จนปัจจุบันสหยูเนี่ยมมีทุนจดทะเบียนถึง
3,000 ล้านบาท
ฉะนั้นตำแหน่งที่ไม่เป็นทางการของ สุนทร อรุณานนท์ชัย ในสหยูเนี่ยนก็คือที่ปรึกษาทางการเงิน
"คือถ้ามีปัญหาทางการเงินผมเป็น NUMBERONE ที่คุณดำหริจะโทรถึง"
สุนทรกล่าว
ยิ่งกว่านั้นในการนำบริษัทในเครือสหยูเนี่ยนเข้าตลาดหลักทรัพย์ และจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของกลุ่มทุกครั้งสุนทรก็ลงทุนส่วนตัวซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ไม่น้อยทีเดียว
สุนทรชวนกลุ่มซันฮังไกซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าหลักทรัพย์ที่อยู่ในอันดับ
1 ใน 5 ของฮ่องกงที่เขามีสายสัมพันธ์อย่างแนบแน่นตั้งแต่สมัยอยู่ สินเอเชียเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ยูเนี่ยนสถาบันการเงินในเครือสหยูเนี่ยนของดำหริ
ดารกานนท์
ดำหริตั้งบริษัทหลักทรัพย์ยูเนี่ยนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2517 เพราะเขาเห็นในต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นธุรกิจแขนงหนึ่งที่จะต้องมีไว้อยู่เหมือนกัน
แต่ดำหริก็ไม่ได้ ใส่ใจบริหารมันอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามบริษัทนี้ก็มีศักยภาพอยู่ในตัวมันไม่น้อย เพราะเป็นถึงบริษัทสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์เป็นโบรกเกอร์หมายเลข
10
"เมื่อก่อนบริษัทนี้มันไม่ค่อยแอคทีพมีปัญหาขาดทุนเพราะการควบคุมทางการเงินไม่ค่อยดี
ทุนจดทะเบียนก็ไม่เท่าไหร่ เป็นเพราะคุณดำหริแกเป็นคนไม่ชอบเล่นหุ้นอยู่ด้วย
คุณสุนทรก็เข้ามาพร้อมกับซันฮังไกถือหุ้นรวมกัน 50% ทีเหลือก็เป็นของสหยูเนี่ยนหลังจากนั้นคุณอารยาภรรยาคุณสุนทรก็เข้ามาบริหารเต็มตัวในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ"
แหล่งข่าวที่รู้เรื่องนี้ดีเท่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
ในช่วงเวลาไล่ ๆ กันนั้นสุนทรก็ชวน ให้ดำหริเข้าซื้อกิจการบริษัทเงินทุนบางกอกทรัสต์ซึ่งเป็นของคนในตระกูล
ณ ระนอง
บางกอกทรัสต์ เป็นสถาบันการเงินเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2513
ต่อมาได้มีกลุ่ม ตระกูล ณ ระนอง เข้าร่วมหุ้นด้วย ปี 2529 ก่อนที่สุนทรจะเข้าไปซื้อนั้นมีทุนจดทะเบียนเพียง100
ล้านบาทสินทรัพย์ 180 ล้านบาท ผลประกอบการขาดทุนสะสาม 23 ล้านบาท ทุนส่วนผู้ถือหุ้น
77 ล้านบาท ใบหุ้นของผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จำนำไว้กับธนาคารกรุงเทพ
นับว่าเป็นบริษัทเงินทุนที่ดีมากบริษัทหนึ่งถ้าเทียบกับบริษัทเงินทุนต่าง
ๆ ที่อยู่ในโครงการ 4 เมษา ข่าวที่ทราบกันวงในขณะนั้นก็คือว่าเจ้าของเดิมต้องการขายเพียง
43 ล้านบาทเท่านั้น
สุนทรทราบเรื่องนี้จากธนาคารกรุงเทพซึ่งสุนทรีมีสายสัมพันธ์อยู่ในนั้นอย่างแนบแน่น
จึงชวนดำหริเข้ามาซื้ออีกบริษัทโดยลงหุ้นกันคนละครึ่ง
จนปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัทเงินทุนยูเนี่ยนไฟแนนซ์ซึ่งมีผู้ถือใหญ่อยู่สองกลุ่มคือเครือสหยูเนี่ยนและครอบครัวของสุนทร
โดยอารยา อรุณานนท์ชัย เป็นผู้ดูแลการบริหารบริษัทนี้ด้วยตัวเองอีกบริษัทหนึ่ง
ความสามารถของอารยาในด้านบัญชีและการวางระบบนั้น เป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการสหยูเนี่ยนทุกคน
จนได้รับความไว้วางใจให้เข้าเป็นกรรมการบริหารของบริษัทด้วย เนื่องจากในการประชุมทุกครั้งจะต้อง
มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินอยุ่แล้วทุกครั้งแต่เนื่องจากปัจจุบันเธอต้องไปทุ่มเทเวลาให้กับโรงงานทำรองเท้า
อย่างมาก ๆ จึงได้ขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวไปแล้ว
จากการที่บริษัทหลักทรัพย์ยูเนี่ยนเป็นบริษัท สมาชิกในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทเงินทุนยูเนี่ยนก็เป็นบริษัทที่ยังเล็กง่ายต่อการพัฒนาอย่างมาก
ทำให้คนในวงการคาดกันว่าหลังจาก สุนทรหลุดออกจากมหานครเขาคง จะปั้นบริาทนี้ให้ขึ้นมาเป็นดาวเด่นในวงการโบรกเกอร์ภายในเวลาอันรวดเร็ว
เพราะมันเป็นงาน อาชีพที่ สุนทรเองเขาถนัดและเชี่ยวชาญเอา มาก ๆ ด้วย
แต่ก็ไม่ได้เป็นดั่งคาดหมาย การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยูเนี่ยนเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ตัวอื่นแล้วยังอยู่ในอันดับท้าย
ๆ ทั้ง ๆ ที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้วเป็นยุคที่เรียกว่าหุ้นบูมมากที่สุด
คงเป็นเรื่องที่พูดลำบากว่าทำมสุนทรจึงไม่ทำสองบริษัทนี้อย่างเต็มไม้เต็มมือของเขา
บางคนบอกว่าเป็นเพราะดำหริไม่ค่อยชอบเรื่องหุ้น ธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ในแนวคิดของดำหรินั้นเป็นแบบไม่ต้องการสุ่มเสี่ยงมากไม่ว่าจะในแง่ของลูกค้าหรือผู้ถือหุ้นบริษัท
เขาต้องการให้ทำธุรกิจกับลูกค้าที่มีความมั่นคงสูงแม้ว่ากำไรจะน้อย
ว่ากันว่าแม้แต่บริษัทในเครือของสหยูเนี่ยนกว่า 30 บริษัทยังไม่เคยใช้แหล่งเงินกู้จกาสองบริษัทนี้เลยเพราะว่าสามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้ดอกเบี้ยถูกกว่าอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องระดมเงินจากประชาชนมากแต่ให้เอาเงินจากต่างประเทศมาปล่อยกู้เพราะได้ส่วนต่างมากกว่ากันเยอะ
ส่วนตัวบริษัทหลักทรัพย์นั้นก็มีหน้าที่เพียงคอยดูหุ้นของบริษัทในกลุ่มสหยูเนี่ยนอย่าให้มีการถ่ายเทกันมาก
เพื่อปกป้องการเทคโอเวอร์จากกลุ่มทุนอื่น ๆ เพราะหุ้นของตระกูลดารกานนท์ในเครือสหยูเนี่ยนบางบริษัทนั้นมีเพียง
30% เศษ ๆ เท่านั้นเอง
ในขณะนี้กำลังเร่งสะสมให้เต็ม 50% ทุกบริษัท
"ราคาหุ้นในตลาดเมืองไทยมันราคาเกินจริงจนน่าเกลียด" ดำหริมักจะพูดถึงเหตุที่เขาไม่ชอบเล่นหุ้นกับคนใกล้ชิดเสมอในขณะที่สุนทรพูดถึงดำหริว่า
"ท่านเป็นนักอุตสหากรรมท่านจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทุนและหลักทรัพย์เท่าไหร่นัก"
จะกล่าวอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก ดำหริไม่ค่อยเชื่อ อย่างฝังใจกับทฤษฎีการเล่นหุ้นใด
ๆ ที่จะนำมาใช้กับ ตลาดหุ้น เมืองไทยสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน
นับตั้งแต่นำหุ้นใหม่เข้าตลาดแต่ละครั้งราคาจะไม่สูงมากนักและในขณะทีหุ้นอยู่ในตลาดราคาก็จะไม่หวือหวา
ไม่เป็นหุ้นที่เหมาะจะเล่นเก็งกำไร
แต่ดำหริก็เป็นคนประเภท ชอบทดลองคน เขาเคยให้เงินแก่ ดอกเตอร์นักบรรยายเรื่องหุ้นและที่ปรึกษาหลายบริษัทไป
10 ล้านบาท เพื่อให้เอาไปเล่นหุ้นตามทฤษฎีของอาจารย์คนนั้นตามคำแนะนำของสุนทร
แต่ปรากฏว่าเจ้งอย่างไม่ เป็นท่า ยิ่งทำให้ดำหริเชื่อหนักเข้าไปอีกว่าการเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี
"ผมอยากจะลองดูว่าอาจารย์ที่ไปเที่ยวสอนคนอื่นจะเก่งแค่ไหน ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็อย่าไปเที่ยวบรรยายให้คนอื่นเขาเชื่อ"
ดำริพูดด้วยความสะใจ
ดูเหมือนอาจารย์ท่านนั้นก็ได้เงียบไปมาก แม้จะยังหากินอยู่กับตลาดหุ้นปัจจุบันอยู่ก็ตาม
ในปลายปี 2530 สุนทรกับภรรยาก็ชวนดำหริร่วมลงทุนอีกโครงการหนึ่งคือโครงการทำผลิตรองเท้าชื่อว่าบริษัทออเรียนทัลฟุทแวร์
ซึ่งว่ากันที่จริงมันเป็นธุรกิจที่ดำหริถนัดเอามาก ๆ เพราะในเครือก็มีโรงงานทำรองเท้าไนกี้อยู่แล้ว
แต่เนื่องจากสนุทรและภรรยาสนใจที่จะทำเรื่องนี้และถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วยก็เลยให้อารยาเป็นผู้บริหารอย่างเต็มตัว
สุนทรไม่ค่อยเปิดตัวในธุรกิจนี้นัก แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าด้านการวางแผนและนโยบายนั้นเขาเป็นคนกำหนด
ส่วนอารยาเป็นผู้ดำเนินการบริหาร
ออเรียนทัลฟุทแวร์ถูดวาดขึ้นมาตามแนวคิดของสุนทร ซึ่งจะต้องเป็นโรงงานขนาดใหญ่มีกำลังการผลิตมาก
ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและตีตลาดให้ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งในแนวคิดนี้ดำหริไม่ค่อยเห็นด้วยกับสุนทร
ดำหริต้องการให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสร้างทักษะความชำนาญและค่อย ๆ
ซึมเข้าไปในตลาดทีละน้อย ๆ แต่สุนทรก็สั่งเครื่องจักรลงทีเดียว 10 โรงเพื่อให้ได้เป้าหมายตามที่เขาวางไว้
แต่ปรากฏว่าล้มเหลว
เพราะรองเท้าที่รับจ้างผลิตนั้น ถูกตีกลับเป็นจำนวนมาก แม้จะมีออร์เดอร์มากแต่ก็ไม่สามารถผิลตให้ดีได้เพราะวาคนงานยังไม่มีทักษะที่ดีพอ
จนปัจจุบัน นี้โรงงานเดินเครื่องได้จริง ๆ เพียง 3 โรงเท่านั้น ส่วนที่ เหลืออีก
7 โรงก็ปิดไว้เฉย ๆ และก็เป็นตัวสำคัญที่ทำ ให้บริษัทนี้ขาดทุนอยู่ในปัจจุบัน
อารยาต้องทำงานอย่างหนักที่โรงงานทำรองเท้า จนไม่มีเวลามาดูแลงานทางด้านบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์เลยในขณะนี้สำหรับเธอแล้วคงจะไม่ยอมแพ้
มันง่าย ๆ
บางคนจึงพยายามพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างดำหริกับสุนทรเริ่มเหินห่างกันมากขึ้นแล้วในระยะหลัง
ๆ โดยเฉพาะสุนทรได้มาทำงานให้กับซีพีมากขึ้น เขาให้เหตุผลว่าทางซีพีมีวิธีคิดและการทำงานแบบสากลมากกว่าสหยูเนี่ยน
อย่างชนิดที่เรียกว่าคนละสุดขั้วทีเดียว
สุนทรมาเปิดตัวอย่างจริงจังในปี 2533 ที่ผ่านมานี้นี่เองในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทสยามนำโชคเจ้าของโครงการฟอร์จูนพลาซ่า-ทาวเวอร์
หรือรัชดาสแควร์เดิมนั่นเอง
สุนทรเก็บตัวเงียบเพื่อทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2531 โดยการเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มยูนิเวสท์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่เดิมอันเนื่องมาจกาประสบปัญหาด้านเงินทุนในการดำเนินการก่อสร้าง
จากเดิมที่เป็นเพียงที่ปรึกษาทางการเงินก็เลยต้องกระโดดเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการอย่างเต็มตัว
ซึ่งก็ดูจะสมศักดิ์ศรีของเขาดีเพราะมีสินทรัพย์จนถึงปัจจุบันสูงกว่า 2,000
ล้านบาทจากการที่สุนทรปลุกปั้นมันเข้าตลาดหลักทรัพย์
บริษัทสยามนำโชคเดิมทีเดียวเป็นของ ชวน รัตนรักษ์ ประธานใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาและเจ้าของสัมปทานช่อง
7 สี ชวนให้ชื่อบริษัทนี้ถือครองที่ดินกว่า 50 ไร่บริเวณหัวโค้งอโศก-ดินแดงหรือที่เรียกกันติดปากในสมัยนั้นว่าโค้งทรราช
กล่าวกันว่าโค้งตรงนั้นเป็นการจงใจตัดถนนอโศกจากถนนเพชรบุรีเข้าไปหาที่ดินของกลุ่มผู้ครองอำนาจบ้านเมือง
(สมัยถนอม-ประภาส) ในบริเวณหัวโค้งนั้นอย่างไม่มีเหตุผลแล้วก็หักมุมเข้าสู่ถนนดินแดงทำให้เป็นโค้งต้นซึ่งไม่มีทางทะลุไปทางอื่นต่อไปได้อย่างน่าเกลียดที่สุด
คนเขาก็เลยเรียกว่าโค้งทรราช
อย่างไรก็ตาม ชวน รัตนรักษ์ได้ซื้อที่ดินแปลง นี้หลังจากที่ได้มีการตัดโค้งดังกล่าวแล้วจากลุ่มผู้มีอำนาจสมัยนั้นคนหนึ่ง
และเมื่อปี 2522 พลเอกเกรียงศักด์ ชมะนันท์นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวงในยุคนั้นได้สั่งให้มีการตัดถนนเส้นใหม่จากถนนวิภาวดีรังสิตมาเชื่อมกับหัวโค้ง
ดังกล่าวแล้วให้ชื่อมันว่าถนนรัชดาภิเษกในปัจจุบัน
ชวนซื้อมาในราคา 90 ล้านบาท หลังจากรู้จำนวนพื้นที่เวนคืนแล้วแน่นอน 13
ไร่
ที่ตรงนั้นก็เลยเป็นที่ดิน ที่สวยที่สุดบนถนนรัชดาฯ เพราะกินพื้นที่ตรงสี่แยกถึงสองด้านซึ่ง
ปัจจุบันบริเวณ ตรงกันข้ามอีกด้าน หนึ่งนั้นคือที่ทำการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ตะวันออกไฟแนนซ์ปัจจุบันนี้นี่เอง"
แหล่ง ข่าวคนเดียวกัน ชี้ให้ "ผู้จัดการ" ดูที่ดินที่ชวนพัฒนา
ขายไปก่อนแล้วหน้านั้นแล้วบางส่วน
ต่อมาชวนได้ขายที่ดินแปลงที่เหลือให้แก่ โยธิน บุณดีเจริญ เจ้าของกิจการในกลุ่มยูนิเวสท์ซึ่งมีทั้งสถาบันการเงินอย่างบริษัทเงินทุนยูนิเวสท์และโครงการพัฒนาที่ดินอย่างเมืองเอกและก็รัชดาสแควร์
โยธิน บุญดีเจริญ ตัวจริง ๆ ของเขาในอดีตคือผู้คุมโครงการพัฒนาที่ดินสำคัญ
ๆ ให้แก่ มงคล กายญตนพาส์ท ภายใต้ชื่อบริษัทบางกอกแลนด์ไม่ว่าจะเป็นโครงการบางกอกบาร์ซาตรงราชดำริ
โครงการหมู่บ้านเมืองทอง หรือโครงการเมโทร
เมื่อมงคลต้องจากเมืองไทยไปนานหลายปี โยธิน จึงคิดทำโครงการของตัวเองขึ้นมา
โดยเริ่มที่เมืองเอก โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก ชาตรี โสภณพนิช ทั้งในขั้วของธนาคารกรุงเทพและขั้วบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเชีย
แน่นอน สุนทร อรุณานนท์ชัย เป็นผู้ดูแลบัญชีลูกค้ารายนี้
ในขณะที่ซีพีก็เป็นลูกค้าที่ดูแลมาตั้งแต่อยู่ทิสโก้มาจนถึงสินเอเชีย ความสัมพันธ์ของเขากับ
ธนินทร์ เจียรวนนท์ จึงแนบแน่นอย่างยิ่ง ตำแหน่งที่ไม่เป็นทางการของสุนทรก็คือที่ปรึกษาทางการเงินของธนินทร์
สุนทรมักออกตัวกับเพื่อน ๆ ว่าเขาเป็นเพียงที่ปรึกษาคนหนึ่งในหลายสิบคนที่ธนินทร์เลือกใช้
"คุณธนินทร์เป็นนักบริหารที่มีมันสมองเป็นเลิศ คิดงานเร็วและก็คิดได้ตลอด
24 ชั่วโมง เป็นคนก้าวหน้าในเชิงธุรกิจคิดการณ์ไกล ใช้คนมากมาย" สุนทรพูดถึงธนินทร์ในขณะที่พูดถึงดำหริว่าเป็นคน
คอนเซอร์เวทีพ ทำงานด้วยตัวเองทุกอย่าง ชอบเก็บตัวไม่ออก สังคมซึ่งเป็นคนละอย่าง
กับธนินทร์ แต่โชคดีที่ได้คนดี ๆ อยู่ข้าง ๆ
กลับมาที่ โยธินอีกครั้งหนึ่งเพราะเป็นจุดต่อที่สำคัญที่สุนทรเข้ามานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ
บริษัทสยามนำโชค
โยธินซื้อบริษัทสยามนำโชคจากชวนเพื่อทำโครงการรัชดาสแควร์แต่ปรากฏว่าดำเนินการยังไม่เท่าไหร่
เกิดปัญหาเรื่องเงินทุนขึ้นมาก่อน เพราะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่และราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนั้น
ด้านการขายก็มีปัญหา
สุนทรได้เข้ามาในจังหวะนี้พอดี
สุนทรได้ชวน ธนินทร์ เจียรวนนท์ เข้ามาซื้อบริษัทสยามนำโชคเมื่อปี 2532
ไปกว่า 70% (รวมทั้งส่วนของสุนทรซื้อเองด้วย) เป็นเงิน 350 ล้านบาท พร้อมกับรับภาระหนี้ได้อีกด้วย
120 ล้านบาท การชำระเงินที่ซื้อมาส่วนหนึ่งเป็นการโอนที่ดินบริเวณฝั่งตรงข้ามเป็นการแลกเปลี่ยนโดยตีมูลค่า
200 ล้านบาท
ตามแผนของสุนทรในการเข้ามาแก้ไขปัญหาการเงินของสยามนำโชค ก็คือต้องนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนเพื่อระดมเงินจากตลาดหลักทรัพย์
สุนทรจึงถูกกำหนดตัวให้เป็นกรรมการผู้จัดการ เพราะมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้มากและเป็นผู้ทำแผนเอง
สุนทรจัดการนำบริษัทสยามนำโชคเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จในต้นปี
2532 โดยการแปลงมูลค่าหุ้นจาก 100 บาทเป็นหุ้นละ 10 บาท แล้วจัดการเพิ่มทุนจาก
100 ล้านบาทเป็น 450 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 350 ล้านบาท ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในราคาพาร์หุ้นละ
10 ตามสัดส่วน 1 หุ้นเก่าต่อ 3 หุ้นใหม่หรือประมาณ 30 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือ
5 ล้านหุ้นขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในอัตราราคาหุ้นละ 45 บาท เป็นเงินส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่เข้าบริษัทล้วน
ๆ จำนวน 175 ล้านบาท
เพียงแค่นี้กลุ่มซีพีกับยูนิเวสท์ก็ได้ทุนคืนไปแล้วเรียบร้อย ยังไม่รวมส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่แต่ละคนถือไว้อยู่ในมืออีกต่างหากซึ่งเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น
1,050 ล้าน บาท
ว่ากันว่าเฉพาะตัวสุนทรนั้นได้ไปไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ยังไม่รวมราคาหุ้นใน
ตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้ราคาตกหุ้นละ 116 บาท (21 มิถุนายน 2534) และเคยขึ้นไปสูง
สุดถึงหุ้นละ 262 บาทมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในด้านการตลาด สุนทรได้ใช้สายสัมพันธ์ผ่าน ทางซีพีดึงกลุ่มเยาฮันซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า
ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและมีสาขาอยู่ทั่วโลกถึง 116 แห่ง เข้ามาร่วมทุนและเช่าพื้นที่ในโครงการเกือบทั้งหมด
โครงการรัชดาสแควร์ซึ่งมาเป็นฟอร์จูนสแควร์นั้นประกอบไปด้วย 4 ส่วนใหญ่
ๆ คือส่วนของห้าง สรรพสินค้าจำนวน 5 ชั้นมีพื้นที่รวมกันทั้งสิ้น 44,676
ตารางเมตร ซึ่งได้ให้บริษัทไทยเยาฮันอันเป็นบริษัทที่ร่วม ทุนกันอีกชั้นหนึ่งระหว่างกลุ่มเยาฮันญี่ปุ่นกับผู้บริหารสยามนำโชคเช่าไปเป็นระยะเวลา
20 ปี เป็นเงินค่าเช่ารวมทั้งสิ้น 760 ล้านบาท โดยทยอยลงบัญชีรายได้รับเป็นรายปี
ส่วนที่ 2 เป็นชอปปิ้งพลาซ่าจำนวน 4 ชั้นรวมพื้นที่ทั้งสิ้น 27,866 ตารางเมตรโดยมอบให้บริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของโลกจอห์นแลงวูทตันสาขาสิงคโปร์เป็นตัวแทนจำหน่าย
ส่วนที่ 3 เป็นอาคารสำนักงานฟอร์จูนทาวเวอร์จำนวน 30 ชั้นรวมพื้นที่ทั้งสิ้น
37,193 ตารางเมตรมอบให้จอยสแลง เป็นผู้แทนจำหน่ายเช่นกัน ส่วนที่ 4 เป็นอาคารโรงแรมจำนวน
25 ชั้นขนาด 429 ห้องพักมีพื้นที่รวมกันทั้งสิ้น 33,140 ตารางเมตร มอบให้บริษํทพาเลชวิวโฮเต็ล
เมนเนจเมนทส์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกันระหว่างกลุ่มพาเลชวิวกับผู้บริหารสยามนำโชคเป็นผู้บริหารโรงแรม
ทั้งนี้มี ธนินทร์ เจียรวนนท์ เป็นประธานกรรมการ และ โยธิน บุญดีเจริญ
เป็นประธานกรรมการบริหาร
ภาระของสุนทรในบทบาทนี้ยังไม่จบ ในขณะนี้เขายังมีแผนงานที่จะขยายโครงการออกไปอีกหลายแห่ง
เช่น โครงการสยาม มีมี ซึ่งจะทำเป็นอฟาร์มเม้นท์ ชั้นดีและสำนักงานให้เช่าบนถนนรัชดา
โครงการฟอร์จูนทาวเวอร์บนถนนชิดลม และโครงการฟอร์จูนซิตี้บางปู
ที่แน่นอนกว่านั้นสุนทรจะนำบริษัทในเครืออย่างไทยเยาฮันและพาเลชวิวโฮเต็ลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว
ๆ นี้
ถ้าไม่สะดุดเสียก่อนสุนทรก็คงจะต้องรวยไปอีกเยอะ