"ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถกระบะ จะไม่ได้ผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์"


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

เรื่องที่จะให้รถยนต์สำเร็จรูปเข่ามาในประเทศไทย ในอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าอัตราเดิมมากมายนั้น คนที่จะเป็นคนที่เจ็บที่สุด คือผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นั่งในประเทศ

เพราะฉะนั้นเรื่องการวิ่งเต้นต่อรองเรื่องส่วนต่างภาษีรถยนต์นั่งสำเร็จรูปนำเข้ากับชิ้นส่วน ว่ากันจริงแล้วเป็นการประลองกำลังกันระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนกับผู้ซื้อมากกว่า เพราะโรงงานประกอบรถยนต์มันไม่มีอะไรหรอก เพียงรับจ้างเอาชิ้นส่วนมาแล้วก็หยิบใส่ ๆ ประกอบเข้าตามแบบที่กำหนดมาเท่านั้น

เสร็จแล้วผู้ขายก็ขายรถยนต์ในราคาเท่าที่ผู้ซื้อ ๆ ได้ ถ้าผู้ซื้อโง่ก็ขายได้กำไรมาก ผู้ซื้อฉลาดก็ขายได้กำไรน้อยหน่อย

แต่คนที่จะเจ็บมากคือผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพราะว่าผลจากการที่ภาษีนำเข้าเปลี่ยนไป วันหนึ่งผู้ซื้อก็อาจจะพบว่ารถยนต์ที่สั่งเข้าจากต่างประเทศนั้น มันมีคุณภาพที่เปรียบเทียบกับราคาแล้วมันดีกว่ารถที่ประกอบในประเทศ คนก็จะไม่ซื้อรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทย เมื่อมันเป็นอย่างนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ไม่ต้องผลิต เพราะว่าจะไม่คนซื้ออีกแล้ว

แต่กระนั้นก็ตาม ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนอาจจะไม่ถึงกับเจ๊งก็ได้เพราะอะไรรู้ไหม ?

เพราะว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพียงอย่างเดียว หรือเน้นหนักชิ้นส่วนรถยนต์เป็นสำคัญเท่านั้น แต่พวกนี้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รถยนต์อยู่ตั้งหลายอย่างเป็นร้อย ๆ ชนิด

แต่ที่เขาหันมาผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ด้วยเพราะ มันบังเอิญเครื่องมือที่เขาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนเพื่อสินค้าอื่น ๆ นั้น มันสามารถที่จะผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้ด้วย เขาก็เลยผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปด้วย

เพราะฉะนั้นผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้เมื่อเขาขายชิ้นส่วนรถยนต์ไม่ได้ เขาก็จะไม่เดือดร้อน เพราะเขาเพียงแต่เสียรายได้ในส่วนที่เขาเคยได้จากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปเท่านั้นเอง ซึ่งเขาอาจหาทางออกด้วยการปิดสายการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ลงขณะที่การผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปได้และขยับขยายหาตลาดสินค้าอื่นต่อไป

อย่างนี้แล้วโรงงานทั้งโรงงานหรือบริษัททั้งบริษัทก็ไม่เจ๊งถึงขั้นต้องปิดกิจการ นี่คือความจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง !!

สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ซัมมิตออร์โตพาร์ท สยามกลการไทยรุ่งยูเนียนคาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

รายได้และผลประโยชน์ของเขาอิงอยู่กับโครงสร้างภาษีอย่างทุกวันนี้ เขาอาจเจ๊งหรือไม่

จริง ๆ แล้ว ผมก็เห็นว่าพวกนี้จะไม่เจ๊ง เพราะว่าพวกนี้เขาทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และผลิตชิ้นส่วนออกมาแต่ละรุ่นมันมีความต้องการเป็นตลาดรองรับสูง เช่นเขาผลิตชิ้นส่วนรถกระบะ รถบรรทุก รถขนส่งต่าง ๆ แล้วผลิตออกมาก็เป็นหมื่น ๆ คันต่อปีเพราะฉะนั้นต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นมันก็ไม่สูงเกินไปขณะเดียวกันก็มีบริษัทคู่แข่งกันเพียง 5 บริษัทเท่านั้น

ต่างกับพวกที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นั่งประเภทรถเก๋ง ซึ่งปีหนึ่งขายได้รวมกันทุกโมเดลเพียง 4-5 หมื่นคันในขณะที่มีโมเดลแย่งตลาดกันอยู่ตั้ง 40-50 โมเดล ต้นทุนมันก็สูง เพราะปริมาณชิ้นที่จะมาเฉลี่ยมันน้อย

เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าให้อุ้มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ผมคิดว่าก็ต้องเลือกอุ้มอุตสาหกรรมที่มีอนาคต จะเติบโต เลี้ยงตัวมันเองได้

ผมก็เห็นว่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์กระบะ รถบรรทุกนี่แหละที่มันจะมีอนาคต สำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นั่งประเภทเก๋ง นี่ยังมองไม่เห็นว่าจะต้องให้อุ้มไปอีกเท่าไหร่ถึงจะโต ครั้นเราจะอุ้มเขาต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่เขาไม่รู้จักโตผมว่ามันไม่ถูกต้องเพราะคนอุ้มคือประชาชนคนไทยทั้ง 60 ล้านคน

ตรงนี้คือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต้องปรับตัว เลือกผลิตชิ้นส่วนที่มีตลาดรองรับจำนวนมากพอต่อการประหยัดต้นทุน

จริง ๆ แล้ว เราโง่มาตลอดที่ดันไปเข้าใจว่า อุตสาหกรรมยานยนต์มันต้องสร้างรถยนต์ขึ้นมาใหม่ทั้งคัน แต่จริง ๆ แล้วเพียงผลิตชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียว แต่ทำปีหนึ่ง ๆ 3 ล้านชิ้นอย่างนี้มันก็เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไปได้แล้วเหมือนกัน

สมมติทำกระปุกอะไรอย่างหนึ่งที่ติดในรถ มูลค่ามันเพียงชิ้นละ 300 บาท แต่ว่าปีหนึ่งผลิต 3 ล้านชิ้นขายทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นปีหนึ่งก็สามารถทำยอดขายได้เกือบ 1,000 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนแบบพิมพ์มันมีอยู่อันเดียว ปริมาณชิ้นส่วนมาหารมาก ต้นทุนก็ต่ำขายง่ายด้วย

หรืออย่างเวลานี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในบ้านเราที่ทำกันก็ทำชิ้นส่วนประเภท กระจก หม้อน้ำ ถังน้ำมัน ท่อไอเสีย แบตเตอรี่ สายไฟ เย็บเบาะ พรม เป็นต้นชิ้นส่วนเหล่านี้มันใช้แรงงานมาก และขนย้ายลำบาก เสี่ยงต่อการแตกหักง่าย

พูดง่าย ๆ ถ้าจะนำเข้าจากต่างประเทศ มันก็ไม่คุ้มค่าโสหุ้ย ในการนำเข้า



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.