"20ปีอาร์เบอร์เอเคอร์ส" คือความสำเร็จของซีพี


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

22 เมษายน 2514 เป็นวันที่บริษัท อาร์เบอร์เอเคอร์ส ประเทศไทย จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากเครือร่วมทุนเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) อาร์เบอร์ เอเคอร์สเปอเรเต็ดแห่งสหรัฐอเมริกา ในสัดส่วน 50 : 50 ด้วยทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาทในขณะนั้น ซีพีได้ให้ความจนใจในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่มานานก่อที่จะมีการร่วมทุน ซึ่งในช่วง เวลานั้นซีพีได้นำพันธุ์หลายๆ พันธุ์มาทดลองเลี้ยง แต่ยัวงไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าอุตสาหกรรมและยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้วยเหตุในด้านการจัดการ ในขณะเดียวกันซีพีก็มีความมุ้งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่อย่างจริงจัง

ดังนั้นการที่ชีพนีได้ทำการศึกษา และเลือกที่จะลงทุนร่วมกับบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์ม ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตไก่จนได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการพัฒนาพันธุ์ไก่และเลี้ยงไก่ และเป็นบริษัทที่ผลิตเนื้อไก่เกิน 50 % ของโลก จึงนับเป็นก้าวของหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดก้าวหนึ่งที่ทำให้ซีพีมาสู่ความสำเร็จในอุตสาหกรรมไก่อย่างเช่นปัจจุบัน

" เมื่อก่อนคนไทยกินไก่สีซึ่งเป็นไก่บ้าน แต่เมื่ออาร์เบอร์เอเคอร์สเข้าก็เอาไก่ขาวซึ่งเป็นไก่อุตสาหกรรมเข้ามา ในความเป็นจริงไก่สีกับไก่ขาวก็ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ไก่เป็นไก่อุตสาหกรรมเป็นเวลาเชือดถอดขนแล้วทำความสะอาดได้ง่ายกว่า ในช่วงแรกที่เราเริ่มมีการร่วมทุน มีคนไม่กี่คนที่จะเห็นว่าไก่จะไปได้ถึงปัจจุบัน เพราะว่าเป็นการยากเหมือนกันที่จะเปลี่ยนคอนเว็ปต์ของผู้ซื้อผู้กินให้หันมากินไก่ขาว" สัญญา เทียมศิริ กรรมการผู้จัดการของบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สปรระเทศไทยย้อนอดิตถึงการเข้ามาในตลาดของไก่พันธุ์อาร์เบอร์เอเคอร์สในยุคเริ่มแรก

สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้รับจากการร่วมทุนครั้งนี้คือ ความรู้ที่ถ่ายทอดโดยตรงมาสู่อุตสาหกรรมการไก่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ ควบคุมโลก ความรู้เรื่องตลาดหรือพันธุ์ไก่ที่มีสิทธิภาพซึ่งเทคโนโลยีในเรื่องดังกล่าวนี้เองที่เป็นหัวใจของการร่วมทุนซีพีครั้งนี้

ธุรกิจของอาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยตลอด 20 ที่ผ่านมาคือ การผลิตพ่อแม่พันธุ์ขายให้ลูกค้าที่ทำอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ อย่างเช่น ฟาร์มของซีพี หรือ ป.เจริญพันธุ์ โดยซื้อไก่ปู่ยาตายายมาจากบริษัทแม่ที่อเมริกามาเลี้ยง ปรับปรุงและและคัดพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันอาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยมีฟาร์มเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์อยู่ถึง 5 ฟาร์ม

จากนโยบายที่พัฒนาพันธุ์ไก่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเผยแพร่เทคโนโลยีที่ทันสมัยด้านการเลี้ยงไก่แก่ลูกค้า ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในประเทศก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จนกระทั้งถึงปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตไก่ที่มีคุณภาพส่งออกไปนอกประเทศเป็นอันดับ 1 ใน5 ของโลกและเป็นประเทศที่ผลิตไก่ได้มากที่สุดของเอเชีย

อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมไก่ในประเทศไทยช่วง 20 ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแจ้งชัดด้วยมูลค้าการส่งออก 6.5 ล้านบาทจากไก่แซ่แข็งที่ส่งออกจำนวน 163 ตันในปี 2514 ได้เพิ่มมูลค่าการส่งออกเป็น 7,431.62 ล้านบาทจากไก่แซ่แข็งที่ส่งออกจำนวน 132,471 ตันในปี 2533

เช่นเดียวกับการพัฒนาประสิทธิภาพของพ่อแม่พันธุ์ไก่ จะเห็นได้ว่า ในปี 2523 แม่พันธุ์ไก่ตัวหนึ่งสามารถผลิตเนื้อไก้กระทงได้ ปริมาณ 129.7 กิโลกรัม ต่อมาอีก 10 ให้หลัง คือในปี 2533 จากแม่พันธุ์ตัวนั้นสามารถผลิตเนื้อไก่กระทงเพิ่มขึ้นเป็น200 กิโลกรัม

อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยจัดเป็นผู้ผลิตพ่อแม่พันธุ์ไก่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ โดยมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 56 % จากยอดขายเมื่อปีที่ผ่านมาจำนวน 3.2 ล้านตัวมีมีมูลค่าตลาดราว 200 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายทั้งของประเทศประมาณ 5 ล้านตัว ซึ่งในจำนวนยอดขาย 3.2 ล้านตัวนี้ จำนวน 10 % เป็นยอดขายที่อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยส่งไปขายต่างประเทศโดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่มาเลเชียและฟิลิปปินส์

ซึ่งหากตัวปริมาณยอดขายหรือมูลค่าตลาดอาร์เบอร์เคอร์สเป็นเพียงธุรกิจส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตไก่ซึ่งมีมูลค่าตลากปีหนึ่งนับหมื่นล้านบาท จากตัวเลขการผลิตโดยรวมอาทิตย์ละ 10 ล้านตัว ซึ่งการเติบโตของตลาดที่ขยายอย่างรวดเร็วปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเป็นผลพวงอันหนึ่ง ที่มาจากพัฒนาประสิทธิภาพพันธุ์ไก่ของอาร์เบอร์เคอร์สที่มีอย่างต่อเนื่อง

JAMES D. NELSON ประธานของ ARBER ACRES FARM INC. กล่าวในโอกาสครบ 20ปี อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยว่า " เรามองถึงอนาคต เราพยายามก้าวหน้าในกิจการนี้ต่อไปเราจะหาทุกวิถีทางที่จะปรับปรุงพันธุ์ไก่เราไม่ทราบว่าปรริมาณการบริโภคเนื้อไก่ในโลกจะเพิ่มขึ้นเท่าไหล่ แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ 31.7% คือในปี 2523 การบริโภคเนื้อไก่ของคนจะอยู่ในราว1.4กก./คน/ปี จนถึงปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็น 5.4 กก./คน/ปี และคาดว่าในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 กก./คน/ปี แต่ถ้าพูดถึงปริมาณเนื้อไก่จากปี 2523-2533 เพิ่มขึ้น 56.5% และจากปี 2533-2543 จะเพิ่มอีก 53.2 % นั้นหมายถึงเราจะต้องปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นใน 10 ข้างหน้า ในขณะที่ปริมาณเนื้อไก่เพิ่ม 50 กว่า% แต่ความต้องการพ่อแม่พันธุ์ไก่เพิ่มขึ้นเพียง 38.5% นับเป็นเพราะประสิทธิภาพของพ่อแม่พันธุ์"

จุดหนึ่งที่น่าสนใจจากการคาดการณ์ของประธารอาร์เบอร์เอเคอร์สก็คือตลาดทั่วโลกภายใน 10-20 ปี ข้างหน้า ตลาดเอเชียจะเป็นตลาดที่สำคัญมากทั้งนี้จากการเติบโตของผู้บริโภคพร้อมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

ในขณะที่ผลเมืองของทวีปเอเชียเพิ่มมากขึ้น 55% ของผลเมืองโลก ( 5.4 พันล้านคน) แต่ปริมาณเนื้อไก่ในตลาดมีจำนวน 37 ล้านตันหรือ 14 % ของตลาดทั่วโลกเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นที่คาดว่าตลาดในเอเชียสำคัญเนื้อไก่จะก้าวหน้าเร็วกว่าทุกทวีป

นั้นหมายถึงโอกาสในการขยายตลาดของธุรกิจขยายอุตสาหกรรมไก่ ในอนาคตซึ่งหมายรวมถึงประเทศไทยจะได้ด้วย

การขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตพ่อแม่พันธุ์ไก่ ของซีพีไม่ได้มีในเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ซีพีได้ร่วมทุนกับอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์มของไต้หวันในสัดส่วน 70:30 โดยใช้ชื่อบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สไต้หวัน ภายหลักจากที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ไม่นาน นอกจจากนี้ซีพียังขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเชียในเวลาใกล้เคียงกันโดยถือหุ้นเต็ม 100% และใช้ชื่อบริษัทเจิญโภคภัณฑ์โดยซื้อพันธุ์จากอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์มมาพัฒนาเอง

สำหรับประเทศไทยสัญญากล่าวว่าในปีนี้อาร์เบอร์เอเคอร์สไทยจะขยายการผลิตลูกไก่ที่ใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์อกกไปอีก15 %ของยอดขาย รวมถึงโครงสร้างที่จะขยายฟาร์มเพิ่มขึ้นอีก 1- 2 แห่งด้วย

ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 20 ปี อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทย เป็นความสำเร็จที่ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ของประเทศที่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธได้เลย

และความสำเร็จของอาร์เบอร์เอเคอร์ส ตลอด20 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทยว่ากันจริงแล้วก็คือความสำเร็จของซีพีด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.