22 เมษายน 2514 เป็นวันที่บริษัท อาร์เบอร์เอเคอร์ส ประเทศไทย จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากเครือร่วมทุนเจริญโภคภัณฑ์
(ซีพี) อาร์เบอร์ เอเคอร์สเปอเรเต็ดแห่งสหรัฐอเมริกา ในสัดส่วน 50 : 50 ด้วยทุนจดทะเบียน
4 ล้านบาทในขณะนั้น ซีพีได้ให้ความจนใจในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่มานานก่อที่จะมีการร่วมทุน
ซึ่งในช่วง เวลานั้นซีพีได้นำพันธุ์หลายๆ พันธุ์มาทดลองเลี้ยง แต่ยัวงไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าอุตสาหกรรมและยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้วยเหตุในด้านการจัดการ
ในขณะเดียวกันซีพีก็มีความมุ้งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่อย่างจริงจัง
ดังนั้นการที่ชีพนีได้ทำการศึกษา และเลือกที่จะลงทุนร่วมกับบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์ม
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตไก่จนได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการพัฒนาพันธุ์ไก่และเลี้ยงไก่
และเป็นบริษัทที่ผลิตเนื้อไก่เกิน 50 % ของโลก จึงนับเป็นก้าวของหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดก้าวหนึ่งที่ทำให้ซีพีมาสู่ความสำเร็จในอุตสาหกรรมไก่อย่างเช่นปัจจุบัน
" เมื่อก่อนคนไทยกินไก่สีซึ่งเป็นไก่บ้าน แต่เมื่ออาร์เบอร์เอเคอร์สเข้าก็เอาไก่ขาวซึ่งเป็นไก่อุตสาหกรรมเข้ามา
ในความเป็นจริงไก่สีกับไก่ขาวก็ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ไก่เป็นไก่อุตสาหกรรมเป็นเวลาเชือดถอดขนแล้วทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
ในช่วงแรกที่เราเริ่มมีการร่วมทุน มีคนไม่กี่คนที่จะเห็นว่าไก่จะไปได้ถึงปัจจุบัน
เพราะว่าเป็นการยากเหมือนกันที่จะเปลี่ยนคอนเว็ปต์ของผู้ซื้อผู้กินให้หันมากินไก่ขาว"
สัญญา เทียมศิริ กรรมการผู้จัดการของบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สปรระเทศไทยย้อนอดิตถึงการเข้ามาในตลาดของไก่พันธุ์อาร์เบอร์เอเคอร์สในยุคเริ่มแรก
สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้รับจากการร่วมทุนครั้งนี้คือ ความรู้ที่ถ่ายทอดโดยตรงมาสู่อุตสาหกรรมการไก่ในประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ ควบคุมโลก ความรู้เรื่องตลาดหรือพันธุ์ไก่ที่มีสิทธิภาพซึ่งเทคโนโลยีในเรื่องดังกล่าวนี้เองที่เป็นหัวใจของการร่วมทุนซีพีครั้งนี้
ธุรกิจของอาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยตลอด 20 ที่ผ่านมาคือ การผลิตพ่อแม่พันธุ์ขายให้ลูกค้าที่ทำอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่
อย่างเช่น ฟาร์มของซีพี หรือ ป.เจริญพันธุ์ โดยซื้อไก่ปู่ยาตายายมาจากบริษัทแม่ที่อเมริกามาเลี้ยง
ปรับปรุงและและคัดพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันอาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยมีฟาร์มเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์อยู่ถึง
5 ฟาร์ม
จากนโยบายที่พัฒนาพันธุ์ไก่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเผยแพร่เทคโนโลยีที่ทันสมัยด้านการเลี้ยงไก่แก่ลูกค้า
ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในประเทศก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จนกระทั้งถึงปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตไก่ที่มีคุณภาพส่งออกไปนอกประเทศเป็นอันดับ
1 ใน5 ของโลกและเป็นประเทศที่ผลิตไก่ได้มากที่สุดของเอเชีย
อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมไก่ในประเทศไทยช่วง 20 ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแจ้งชัดด้วยมูลค้าการส่งออก
6.5 ล้านบาทจากไก่แซ่แข็งที่ส่งออกจำนวน 163 ตันในปี 2514 ได้เพิ่มมูลค่าการส่งออกเป็น
7,431.62 ล้านบาทจากไก่แซ่แข็งที่ส่งออกจำนวน 132,471 ตันในปี 2533
เช่นเดียวกับการพัฒนาประสิทธิภาพของพ่อแม่พันธุ์ไก่ จะเห็นได้ว่า ในปี
2523 แม่พันธุ์ไก่ตัวหนึ่งสามารถผลิตเนื้อไก้กระทงได้ ปริมาณ 129.7 กิโลกรัม
ต่อมาอีก 10 ให้หลัง คือในปี 2533 จากแม่พันธุ์ตัวนั้นสามารถผลิตเนื้อไก่กระทงเพิ่มขึ้นเป็น200
กิโลกรัม
อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยจัดเป็นผู้ผลิตพ่อแม่พันธุ์ไก่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขณะนี้
โดยมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 56 % จากยอดขายเมื่อปีที่ผ่านมาจำนวน 3.2 ล้านตัวมีมีมูลค่าตลาดราว
200 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายทั้งของประเทศประมาณ 5 ล้านตัว ซึ่งในจำนวนยอดขาย
3.2 ล้านตัวนี้ จำนวน 10 % เป็นยอดขายที่อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยส่งไปขายต่างประเทศโดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่มาเลเชียและฟิลิปปินส์
ซึ่งหากตัวปริมาณยอดขายหรือมูลค่าตลาดอาร์เบอร์เคอร์สเป็นเพียงธุรกิจส่วนเล็กๆ
เมื่อเทียบกับธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตไก่ซึ่งมีมูลค่าตลากปีหนึ่งนับหมื่นล้านบาท
จากตัวเลขการผลิตโดยรวมอาทิตย์ละ 10 ล้านตัว ซึ่งการเติบโตของตลาดที่ขยายอย่างรวดเร็วปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเป็นผลพวงอันหนึ่ง
ที่มาจากพัฒนาประสิทธิภาพพันธุ์ไก่ของอาร์เบอร์เคอร์สที่มีอย่างต่อเนื่อง
JAMES D. NELSON ประธานของ ARBER ACRES FARM INC. กล่าวในโอกาสครบ 20ปี
อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทยว่า " เรามองถึงอนาคต เราพยายามก้าวหน้าในกิจการนี้ต่อไปเราจะหาทุกวิถีทางที่จะปรับปรุงพันธุ์ไก่เราไม่ทราบว่าปรริมาณการบริโภคเนื้อไก่ในโลกจะเพิ่มขึ้นเท่าไหล่
แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ 31.7% คือในปี 2523 การบริโภคเนื้อไก่ของคนจะอยู่ในราว1.4กก./คน/ปี
จนถึงปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็น 5.4 กก./คน/ปี และคาดว่าในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นเป็น
7.1 กก./คน/ปี แต่ถ้าพูดถึงปริมาณเนื้อไก่จากปี 2523-2533 เพิ่มขึ้น 56.5%
และจากปี 2533-2543 จะเพิ่มอีก 53.2 % นั้นหมายถึงเราจะต้องปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นใน
10 ข้างหน้า ในขณะที่ปริมาณเนื้อไก่เพิ่ม 50 กว่า% แต่ความต้องการพ่อแม่พันธุ์ไก่เพิ่มขึ้นเพียง
38.5% นับเป็นเพราะประสิทธิภาพของพ่อแม่พันธุ์"
จุดหนึ่งที่น่าสนใจจากการคาดการณ์ของประธารอาร์เบอร์เอเคอร์สก็คือตลาดทั่วโลกภายใน
10-20 ปี ข้างหน้า ตลาดเอเชียจะเป็นตลาดที่สำคัญมากทั้งนี้จากการเติบโตของผู้บริโภคพร้อมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน
ในขณะที่ผลเมืองของทวีปเอเชียเพิ่มมากขึ้น 55% ของผลเมืองโลก ( 5.4 พันล้านคน)
แต่ปริมาณเนื้อไก่ในตลาดมีจำนวน 37 ล้านตันหรือ 14 % ของตลาดทั่วโลกเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นที่คาดว่าตลาดในเอเชียสำคัญเนื้อไก่จะก้าวหน้าเร็วกว่าทุกทวีป
นั้นหมายถึงโอกาสในการขยายตลาดของธุรกิจขยายอุตสาหกรรมไก่ ในอนาคตซึ่งหมายรวมถึงประเทศไทยจะได้ด้วย
การขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตพ่อแม่พันธุ์ไก่ ของซีพีไม่ได้มีในเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
ซีพีได้ร่วมทุนกับอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์มของไต้หวันในสัดส่วน 70:30 โดยใช้ชื่อบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สไต้หวัน
ภายหลักจากที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ไม่นาน นอกจจากนี้ซีพียังขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเชียในเวลาใกล้เคียงกันโดยถือหุ้นเต็ม
100% และใช้ชื่อบริษัทเจิญโภคภัณฑ์โดยซื้อพันธุ์จากอาร์เบอร์เอเคอร์สฟาร์มมาพัฒนาเอง
สำหรับประเทศไทยสัญญากล่าวว่าในปีนี้อาร์เบอร์เอเคอร์สไทยจะขยายการผลิตลูกไก่ที่ใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์อกกไปอีก15
%ของยอดขาย รวมถึงโครงสร้างที่จะขยายฟาร์มเพิ่มขึ้นอีก 1- 2 แห่งด้วย
ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 20 ปี อาร์เบอร์เอเคอร์สประเทศไทย เป็นความสำเร็จที่ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ของประเทศที่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธได้เลย
และความสำเร็จของอาร์เบอร์เอเคอร์ส ตลอด20 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทยว่ากันจริงแล้วก็คือความสำเร็จของซีพีด้วย