แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นงานบริหารเหมือนกัน แต่ความแตกต่างขององค์กรทำให้การบริหารงานในฐานะคณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และการเป็นกรรมการผู้จักการบริษัทปัตตานี อุตสาหกรรม(1971)
จำกัดของดร. บุญธรรม นิธิอุทัย แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บุญธรรมเคยตัดสินใจเลือกงานบริหารในปัตตานีอุตสาหกรรมครั้งหนึ่งแล้ว
เมื่อ 2 ปี ก่อนโดยบอกลาออกจากการเป็นคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาเป็นผู้ปลุกปั้นมากลับมือเพื่อมาดำเนินงานบริหารในธุรกิจครอบครัว
ซึ่งพี่ชายเคยรับผิดชอบอยู่มาด่วนสิ้นชีวิตไปอย่างกะทันหัน
ในโอกาสที่"ผู้จัดการ"ได้รับเชิญไปเยี่ยมกิจการลูกค้าของบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแงประเทศไทย
บุญธรรมเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ธุรกิจสานเลือดที่ผมทำอยู่เวลานี้หมายความว่าเป็นธุรกิจที่กันมาแต่รุ่นปู่ของผม
เดิมเป็นเพียงโรงงานยางเครป คือหางยางที่เหลือจากน้ำยางข้น เป็นผลพลอยได้ที่นำเอามาทำพื้นรองเท้าได้
และก็มีการส่งยางดิบออกจำหน่ายในต่างประเทศบ้าง โดยมีราคาขึ้นลงตามภาวะตลอด"
ต่อมาบุญธรรมพบว่าไม่มีผลิตภัณฑ์จากน้ำยางประเภทใดที่มีตลาดขยายตัวได้ดีเท่าฟองน้ำ
ไม่ว่าจะเป็นลูกโป่ง ถุงมือ หรือตุ๊กตาก็ตาม เขาจึงเริ่มทำผลิตภัณฑ์ฟองน้ำที่ทำโดยยางธรรมชาติ
100%
ปัตตานีอุตสาหกรรมจึงเริ่มผลิตที่นอนหรือฟูก และหมอนออกจำหน่ายถายใต้ยี่ห้อ
"ปาแเท็กช์ หรือ PATEX " บุญธรรมอ้างว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติมีอายุการใช้งาน
15 ปีขึ้นไป
บุญธรรมเปิดเผยโดยว่า "ระหว่างปี 2512 - 2524 ดันล้อปมาติดต่อซื้อผลิตภัณฑ์ของเราไปใส่ชื่อยี่ห้อดันล้อปขาย
แต่ภายหังหันไปนิยมประเถทโพลียูรีเทนแทนเพราะว่าราคาถูกกว่ามากและก็ไปบุกตลาดล่างมากขึ้นด้วย
ประกอบกับทางบริษัทฯไม่สามารถผลิตสิ้นค้าได้ทันความต้องการในท้องถิ่นเองจึงงขอยกเลิกคำสั่งชื้อจากดันล้อปไป"
หลักจากที่จบการศึกษาปริญญาเอกที่ NATIONL COLLEGE OF RUBBER TECHNOLOGY
ที่กรุงลอนดอนเมื่อปี พ.ศ 2515 ได้ PH.D. ด้านยางเป็นคนแรกๆ ของเมืองไทยแล้วบุญธรรมกลับมาสอนวิชายางที่มหาวิทยาสงขลานครินทร์
ได้ประสบความสำเร็จอย่างมากจึงจนสามารถผลักดันให้ตั้งคณะวิทยาศาสนตร์ฯขึ้นมาได้
ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องยางมามากมายหลายรุ่น
"แต่ไม่มีนักศึกษาคนไหนที่สำเร็จการศึกษาแล้วมาทำงานที่บริษัทผมเลย"
หลักจากที่บุญธรรมลาออกไปคุมกาจการส่วนตัวอยู่ผรักหนึ่งก็ต้องกลับมาสอนหนังสือในคณะที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
ในคณะมาอาจารย์ที่สอนเรื่องยางอยู่เพียง 4 คนเท่านั้น รวมทั้งตัวบุญธรรมด้วย
ตอนนี้บุญธรรมจึงต้องทำงานสองที่ควบคู่กันไป ทำให้เกิดปัญหาว่าไม่สามารถทุ่มเทให้ทางหนึ่งทางใดอย่างเต็มที่
ปัตตานีอุตสาหกรรมมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 4 ตัวคือน้ำยางข้น ผลิตได้ปีละ 2,340ตันที่นอนยางฟองน้ำ
5,000ชิ้น/ปี หมอน 15,000 ใบ/ปี และยางเครป 177 ตัน/ ปี
ส่วนที่ทำกำไรมากที่สุดคือที่นอนยางฟองน้ำ ซึ่งมีกำไรประมาณ 23-40 % ของยอดขาย
ส่วนน้ำยางข้นนั้นมีกำไรเพียง 8 % ของยอดขายเท่านั้น
อันที่จริง ในช่วงที่โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รับรู้ในระยะแรก อุตสาหกรรมน้ำยางข้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ความต้องการถุงมือและถุงยางอนามัยมีสูงมาก โรงงานทำน้ำยางข้นเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
จาก 8 โรงเป็น 33-35 โรง
เป็นความโชคดีของปัตตานีอุตสาหกรรมในการที่บุญธรรมไม่ได้พึ่งพิงการผลิตแค่น้ำยางข้นและยางเครปเท่านั้น
ยางเป็นวัตถุดิบที่นำไปทำอะไรได้ตั้งมากมายหากรู้จักคิดค้น ที่นอนและหมอนฟองน้ำจากยางธรรมชาติได้รับการตต้อนรับอย่างดีจากลูกค้า
บุญธรรมเล่าว่า "65% เป็นลูกค้าตามบ้านที่ติดต่อผ่าน เอเยนต์ 30% เป็นลูกค้าโรงแรมและ
5% เป๋นลูกค้าโรงพยาบาลบรรดาโรงแรมและโรงพยาบาลในภาคใต้ล้วนแต่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา"
ความที่ผลิตภัณฑ์ทำขึ้นมาจากยางธรรมชาติล้วนๆ ทำให้เป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศอย่างมาก
บริษัทในเบลเยียมแห่งหนึ่งเดินทางมาพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าใช่ยางธรรมชาติ 100%
หรือไม่
ทั้งนี้เริ่มมีแนวประการหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรป คือแนวคิดที่ว่าในร่ายกายคนเรามีพลังงานแม่เหล็ก
การที่จะรักษาพลังงานนี้ไว้ไม่ให้เสื่อมคลายก็โดยการใช้วัตถุที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ไม่มีเหล็กเจือปน
และเก้าอี้ หมอนที่นอน ที่ทำจากยางธรรมชาติล้วนๆ จึงเป็นที่สนใจนิยมกันมาก
กลางเดือนกรกฎาคม 2534 ปัตตานีอุตสาหกรรมตกลงจัดส่งผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจำนวน
4 ตู้คอนเทนเนอร์ มูลค้า ตู้ละ 3.5 แสนบาทไปจำหน่ายในเบลเยียม โดยผ่านบริษัทตัวแทนจำหน่าย
และแต่งให้เป็นเอเยนต์จำหน่ายในประเทศทั่วยุโรป
ก่อนหน้านี้ก็มีลูกค้ามาขอซื้อไปขายที่มาเลเชียบ้างแล้ว และได้เข้ามาเจรจาขอเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวในมาเลย์ด้วย
บุญธรรมเปิดเผยว่า "ตลบาดผลิตภัณฑ์ที่ทำจจากยางธรรมชาติยังมีอยู่อย่างกว้างขวาง
ปัญหาของปัตตานรีอุตสาหกรรมคือเรื่องกำลังการผลิตที่ยังไม่ค่อยจะพร้อม ทำให้เราไม่สามารถขยายตัวได้มากว่านี้"
กล่าวให้ชัดเจนลงไปคือ การขาดกำลังคนโดยเฉพาะผู้บริหาร ช่างเทคนิคนักวิศวฯและนักเคมี
ปัญหาเรื่องเครื่องจักรที่มีราคาค่อนข้างสูงมาก แต่เดิมที่มีการซื้อเครื่องจักรจากเยอรมันนี
และเนเธอร์แลนด์ตต่อมาพยายามประดิษเลือนแบบขึ้นคุณภาพพอใช้ได้แต่ยังไม่ดีเท่าต้นแบบ
ประการสุดท้ายคือเรื่องเงินทุน ทางนี้ปัตตานีฯ มีทานจดทะเบียน 3.2 ล้านบาท
มียอดขายปาละ 40 ล้านบาท และมีฐานะเป็นลูกค้าขั้นดีของบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ว่าไปแล้วปัญหาเรื่องเงินทุนไม่ใช่ประเทด็นสำคัญแต่อย่างไรเพราะว่าบริษัทฯ
ยินดีให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ปรระเด็นคือบุญธรรมไม่สามารถขยายงานได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตราบใดที่รับภาระการสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
บุญธรรมเปิดเผยด้วยว่า "ส่วนเรื่องการร่วมทุนนั้นผมยังไม่ได้คิด คือเราเติบโตจากบริษัทผู้ผลิตหากมาการร่วมทุนผมส่งสัยว่างานที่เป็นการค้นคว้าทดลองจะจตะทำต่อไปได้หรือไม่
ใจผมมอยากที่จะขยายตัวในการศึกษาเกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยมากกว่าที่จะขยายตัวในทางกว้างคือเล่นเรื่องตลาดอย่างเดียว"
นี่เป็นแนวคิดของนักเคมีโดยแท้ทั้งที่มีตัวเลขอยู่ในมือว่ายอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่า
20 % ทุกปี เมื่อใดก็ตามในอนาคตดร. บุญธรรมได้มาดำเนินการธุรกิจสายเลือดอย่างเต็มตัว
เขาต้องวิธีบริหารงานวิจัยค้นคว้ากับการทำธุรกิจให้สอดคล้องกันจนได้