วีระ สุสังกรกาญจน์ วิถีแห่งคนกล้าเปิดเสรีรถยนต์


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

39 ปีที่ วีระ สุสังกรกาญจน์ เคี่ยวกรำในงานรับราชการ โดยเฉพาะในกระทรวงอุตสาหกรรมที่เขาได้เกิด และเติบโตจากนักอุตสาหกรรมโทหนุ่ม เมื่อ 34 ปีที่แล้ว จนกระทั่งได้เป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อปี 2525-27 และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

การที่คนๆหนึ่งจะดำรงตนอยู่ได้ท่ามกลางผลประโยชน์ของบางกลุ่มระดับยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะแต่ละกลุ่มผลประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่เช่นอุตสาหกรรมเหล้า หรืออุตสาหกรรมรถยนต์ที่ว่ากันเป็นตัวเลขนับหมื่นนับแสนล้านบาท

ชีวิตของข้าราชการระดับบริหารอย่างวีระจึงเปรียบเสมือนการไต่เส้นลวด !

ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยวีระ ยังดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระททรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี 2527 เขาก็ได้เคยผ่านความเจ็บปวดช้ำชอกใจมาแล้ว จาการโดนย้ายอย่างสายฟ้าแลบเข้าประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะไม่สนองตอบต่อนโยบายของนักการเมืองอย่างอบ วสุรัตน์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขณะนั้น ในกรณีนโยบายการรวมบริษัทเหล้าสองบริษัท คือสุรามหาราษฎรและสุราทิพย์เข้าด้วยกัน

จากวันคืนอันขมขื่นใจตั้งแต่ปี 2527 จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อปีที่แล้ว เป็นเวลาห้าปีเต็มๆ ที่วีระต้องตกอยู่ในสภาพ "คนนอก" มาตลอด แบบข้าฯรู้ข้าฯเห็น แต่ข้าฯทำอะไรไม่ได้

แต่วันนี้ วีระมีอำนาจของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ในมือที่จะตัดสินใจเรื่องทมี่เขาคิดว่าไม่เป็นธรรม และนโยบายเปิดเสรีก็เป้นทางออกหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการสะท้านฟ้าสะเทือนดินกันทั้งวงการอุตสาหกรรม

"บางคนบอกว่า นโยบายเสรีเป็นดาบสองคมที่อาจทำให้อุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้วพังไปเลยก็ได้ มันก็คงจะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะผมอยู่ในวงการอุตสาหกรรมมานานพอสมควร เรารู้ว่าเป็นอะไรเป็นอะไรที่เสรีนั้นเป็นการแก้เรื่องความไม่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่เสรีจนไปทำให้ผู้ประกอบการที่มีอยู่ล้มหายตายจากไป" ถ้าผู้ประกอบการฟังถ้อยคำของวีระก็คงจะร้องว่าไม่จริง แต่สำหรับประชาชนทั่วไปต่างยินดีแซ่ซ้องสรรเสริญนโยบายการแก้ไขการผูกขาด-ตัดตอน

หนึ่งนโยบายที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินมโหฬาร ก็คือนโยบายปล่อยให้อุตสาหกรรมรถยนต์มีการแข่งขันเสรีด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีรถยนต์ทั้งระบบ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ผลิตชิ้นส่วน ภาษีรถยนต์สำเร็จรูปและภาษีชิ้นส่วนนำเข้าซีเคดี โดยเป็นการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม-พาณิชย์และคลังแล้วผ่านเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการกลั่นกรองซึ่งมี สุธี สิงห์เสน่ห์เป็นประธาน

"ความจริงบริษัทรถยนต์คิดว่ารัฐบาลจะไม่ทำจริง จึงไม่มีการเตรียมตัว แต่พอนโยบายนี้ออกมาก็มีการโวยวายเป็นธรรมดา ผมไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาลอยๆ หรือเล่นกับความคิดเฉยๆแต่ทำจริงๆ" ด้วยจุดยืนที่ต้องการเปิดเสรีรถยนต์ของวีระเช่นนี้ จึงทำให้ผู้บริหารบริษัทรถยนต์หันเข้ามารัฐมนตรีว่าการดร.ลิปนนท์ เกตุทัตแทน

แต่งานนี้ วีระได้รับมอบหมายจากดร.ลิปปนนท์ ในที่สุด วันที่ 12 มิ.ย.ก็ได้ปรากฏตัวเลขภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่จะเก็บเพียง 60 %เท่านั้น (ยังไม่รวมค่าภาษีอื่นๆอีก) จากเดิมที่เคยเสียภาษีนำเข้า 180% รวมค่าภาษีอื่นๆจะต้องมีภาษีที่ต้องเสียรวม 400% สำหรับต่ำกว่า 2,300 ซีซีและ 600% สำหรับรถเกินกว่า 2,300 ซีซี

นอกจากนั้นยังยกเลิกเก็บภาษีเซอร์ชาจหรือค่าธรรมเนียมพิเศษทั้งหมด จากเดิมที่เคยเก็บ 30-100% ของราคาบวกภาษีแล้ว ส่วนอัตราภาษีชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่นำเข้าเดิมเก็บในอัตรา 112% ปรับลดเหลือ 20% เท่านั้นทั้งนี้จะไม่มีการแบ่งเป็นรถต่ำกว่าหรือสูงกว่า 2,300 ซีซีอีกต่อไป

"เชื่อว่าถ้าหากประกาศภาษีใหม่จะทำให้ราคารถยนต์ในประเทศถูกลง 20-25% แต่คงจะไม่ถูกลงทันที เพราะยังมีปัญหาสต็อกเก่าซึ่งต้องใช้เวลา 5-6 เดือน ทางออกของบริษัทรถยนต์ก็คือ จะต้องมีการลดราคาโดยคิดราคาเฉลี่ยทั้ง 6 เดือน เพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุดเช่น BMW ทำไปแล้ว หรือไม่รัฐบาลก็ต้องชดเชยภาษีให้ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณา" แนวทางการดำเนินการนี้เป็นสิ่งที่รมช.วีระ ได้ทำอยู่

สำหรับผลกระทบที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 150 ราย วีระกล่าวว่ามีบางรายแจ้งว่าไม่เดือดร้อน เพราะเป็นรายที่มีคุณภาพมาตรฐานดี ที่มีตลาดลูกค้ารองรับอยู่แล้วโดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ ซึ่งให้ราคาดีกว่าในประเทศ ส่วนพวกที่เดือดร้อนคือ พวกที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน

ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ เช่น ซัมมิทออโตพาร์ทมีคุณภาพมาตรฐานดี ศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุขให้ข้อคิดว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ อาจไม่ได้ผลกระทบที่เสียหายจากการดำเนินนโยบายเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์และการปรับโครงสร้างภาษีเลย เพราะว่าชิ้นส่วนที่ผลิตมุ่งตอบสสนองโรงงานประกอบรถปิคอัพและรถบรรรทุกมากกว่ารถยนต์นั่ง

กระนั้นก็ตามวีระก็ย้ำว่า "เราพยายามช่วยพวกนี้ โดยจะพยายามชี้แจงกับกระทรวงการคลังให้มีการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้ ซึ่งจะเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเศรษฐกิจต่อไป"

"จริงๆแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับตัวภาษีที่จะมีการปรับใหม่ เนื่องจากไม่ทำให้เกิดการแข่งขันมาก เพราะอัตราช่องว่างระหว่างซีเคดี. (ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์แบบถอดแยกส่วน)กับซีบียู.(การนำเข้ารถยนต์ทั้งคัน) ยังห่างกันถึง 40% ถ้าจะให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ควรจะห่างกันเพียง 15-20% เท่านั้น แต่ทางกระทรวงการคลังยืนยันว่าสามารถลดให้ได้เพียงเท่าที่เห็น"วีระเล่าให้ถึงจุดต่างของเขากับคลัง

งานนี้เป็ฯที่เชื่อว่าเมื่อลดภาษีแล้วอาจจะไม่มีการนำเข้ารถยนต์มากนัก เพราะบริษัทรถยนต์จะต้องนั่งดีดลูกคิดตัวเลขว่าจะประกอบในประเทศดีกว่า หรือนำเขส้าคุ้มกว่าเพราะว่าราคานาเข้าบวกภาษียังสูงกว่าประกอบรถเองในประเทศ และการนำเข้าต้องทำเป็นล็อตใหญ่จึงจะคุ้ม โดยเฉพาะบางบริษัทที่มีปัญหาการผลิตจะพึ่งการนำเข้า

"ถือว่านี่เป็นการกระตุ้นตลาดให้บริษัทรถยนต์ตื่นขึ้นมาดูตัวเอง และพัฒนาคุณภาพเพื่อรองรับการแข่งขัน"

ในปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตรถยนต์นั่งมีถึง 65,885 คัน รถปิกอัพผลิตได้ 67,613 คัน และรถบรรทุก 70,509 คัน คิดเป็นยอดขายก็มีมูลค่าทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 250,308 ล้านบาท ทั้งนี้สัดส่วนการถือครองตลาด 90%เป็นรถค่ายญี่ปุ่น ที่เหลือเป็นรถค่ายยุโรป

"ที่ผ่านมานับว่า บริษัทรถยนต์และโรงงานประกอบรถรวยกันมามากพอแล้ว" วีระกล่าว

นี่เป็นสิ่งที่วีระรู้อยู่เต็มอกถึงงนโยบายที่รัฐบาลได้อุ้มชูคุ้มครอง

อุตสาหกรรมนี้มาไม่ต่ำกว่า 30 ปี โดยหวังว่าจะพัฒนาไปสู่ขั้นส่งออกได้ โดยบังคับให้ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 54% สำหรับรถยนต์นั่ง และ 70%สำหรับรถปิกอัพซึ่งก็ไม่ได้สลักสำคัญอันใด เพราะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีมากมาย ขณะที่ชิ้นส่วนที่นำเข้าต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงและคุณภาพและราคาเอาเปรียบผู้ซื้อมาก บางรายก็อ้างเหตุผลขึ้นราคารถเพราะค่าราคาเงินเยนสูง ทั้งที่ผลิตไม่ทันกับความต้องการ

ด้วยความไม่เป็ฯธรรมนี้วีระเล่าให้ฟังว่ารัฐจึงคิดว่าน่าจะพัฒนาให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งที่ทำมาก็คือยกเลิกจำกัดซีรี่ส์ต่อมาคือนโยบายนำเข้ารถยนต์ต่ำกว่า 2,300 ซ๊ซ๊ ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นตลาด และที่สำคัญก็ได้เปิดเสรีโรงงานประกอบรถยนต์นั่งและยกเลิกการบังคับใช้ชิ้นส่วนในประเทศด้วย

"มีบริษัทรถยนต์มากมายสนใจจะเข้ามาไม่ว่าจะเป็นบริษัทรถยนต์จากสเปน บราซิลและเกาหลี ที่สนใจจะลงทุนชิ้นส่วนจนถึงโรงงานประกอบรถยนต์เพื่อส่งออก ซึ่งผมว่าถ้าเกาหลีเข้ามาก็จะกระตุ้นตลาดได้มาก เพราะเกาหลีเป็นคู่แข่งที่สำคัญของญี่ปุ่น" ถ้าหากการเข้ามาของบริษัทรถยนต์ต่างๆตามที่ รมช.วีระ เล่าให้ฟังนี้เกิดขึ้นในอนาคตตลาดการแข่งขันเสรีคงจะเอื้ออำนวยให้ตลาดเป็นของผู้ซื้อมากขึ้น

แต่อนาคตคือ สิ่งไม่แน่นอน ยิ่งบนผลประโยชน์ก้อนมหาศาลมูลค่านับแสนๆ ล้านบาทนี้ ที่ผูกพันเชิงธุรกิจการเมืองนี้แล้ว ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าอำนาจอิทธิพลของผู้ประกอบการมีมากน้อยเพียงใด แค่ลองคิดเล่นๆว่าร้อยละ 2 ของเงินสองแสนล้านบาทจะเป็นเงินก้อนเท่าใด? ที่จะผลักดันให้กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองบีบบังคับนโยบายให้ตีบตันได้

เรื่องเช่นนี้วีระเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ผิดกันที่อดีตเขาเป็นเพียงผู้ถูกกระทำแต่มามางานยักษ์คราวนี้ เขาเป็นผู้มีอำนาจกระทำการได้ ถ้าเกิดมรรคผลสำเร็จ ก็ต้องนับว่าวีระสุสังกรการญจน์คนนี้ได้ล้างมือในอ่างทองคำได้อย่างงดงามด้วยวิถีแห่งคนกล้า



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.