เวทีการแข่งขันระหว่างเป๊ปซี่และโค้กนั้นไม่เคยว่างมาเป็นศตวรรษแล้ว และคงเป็นการแข่งขันอันเดียวที่ไม่สามารถบ่งชี้ลงไปได้ว่าใครเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะที่แท้จริง
เพราะผู้ที่เป็นหนึ่งและเป็นรองนั้นต่างมีธุรกิจที่อยู่ในเครือหลายชนิ การฟาดฟันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งจึงไม่ได้มีอยู่ทางเดียว
และบัดนี้เป๊ปซี่ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกมองอยู่ก็กำลังจะเขย่าบัลลังก์เจ้าตำรับอาหารฟารสต์ฟูดของคู่แข่งคือแมคโดนัลค์ของโค้ก
เมื่อเวนย์ คัลโลเวย์ ประธานบริหารของเป๊ปซี่โค กล่าวว่า "เป้าหมายของเป๊ปซี่คือการเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ดีที่สุดในโลกนั้น"
ดูออกจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับผู้ที่ติดตามผลการแข่งขันของยักษ์ใหญ่น้ำโคลาทั้งสองค่ายมาตลอด
เพราะแม้เป๊ปซี่จะตามโค้กมาติด ๆ ก็ยังไม่อาจแซงหน้าได้อยู่จนแล้วจนรอด แต่หากดูจากข้อมูลเจาะลึกจะเห็นว่า
โค้กประมาทคู่แข่ง ไม่ได้แม้เพียงกะพริบตา
ทั้งนี้ก็เพราะว่า หากพิจารณาจากส่วนแบ่งการตลาดแล้วโค้กเป็นฝ่ายนำไปก็จริง
แต่เป๊ปซี่ก็กำลังขึ้นชื่อขึ้นเรื่อย ๆ ในด้านการลดต้นทุนและการทำกำไร ในช่วง
5 ปีที่ผ่านมารายได้จากผลประกอบการของเป๊ปซี่ โคลาเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% และฟริโต-เลย์
กิจการอาหารขบเคี้ยวในเครือของเป๊ปซี่ โค ก็จัดได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยผลกำไรมากกว่า
20% ในขณะที่กิจการเดียวกันนี้ของพร็อตเตอร์ แอนด์ แกมเปิล, อันเฮาเซอร์-บุช
และเจ้าอื่น ๆ ยังฟาดฟันกันในสงครามราคาอยู่ไม่หยุดหย่อน กิจการขนมขบเคี้ยวของ
ฟริโตเลย์ ก็ยังทำกำไรให้กับบริษัทตลอดมา
แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้โค้กต้องระวังตัวก็คือแมคโดนัลด์ เชนร้านอาหารของโค้กกำลัง่จะถูกรุมเขย่าด้วยสามเชนร้านอาหารของเป๊ปซี่ซึ่งต่างมีชื่อเสียงเป็นหนึ่งมาตลอดเหมือนกันคือ
พิซซ่า ฮัท, ทาโค เบลล์, เคนตั๊กกี้ ฟรายด์ ชิกเก้น กำไรจากผลประกอบการของทั้งสามแห่งรวมกันนั้นสูงขึ้นเรื่อย
ๆ เป็นกว่า 20% ต่อปีแล้วมากกว่าแมคโดนัลด์ผู้ครองตำแหน่งแชมป์ฟาสต์ฟูดอันดับ
1 มาตลอด ซึ่งมีกำไรจากผลประกอบการประมาณ ปีละ 8%
ปัจจัยเหล่านั้นเป็นตัวยืนยันได้ดีกว่า คัลโลเวย์ไม่ได้ฝันเฟื่องไปกับคำประกาศของเขา
เป๊ปซี่โคกำลังอยู่ในระหว่างการเร่งเกียร์ขึ้นเพื่อเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคที่ดีที่สุดของโลกอยู่จริง
ๆ ตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปัจจุบัน ยอดขายของบริษัทพุ่งขึ้นเป็น 17,800 ล้านดอลลาร์แล้ว
ส่วนกำไรจากผลประกอบการนั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่านี้อีก ผู้ที่ถือหุ้นของเป๊ปซี่มาตั้งแต่ปี
1986 นั้นจะได้รับเงินปันผลมากกว่า 30% และจากการสำรวจความนิยมของบริษัทต่าง
ๆ ของนิตยสารฟอร์จูนพบว่า เป๊ปซี่อยู่ในอันดับ 5 ในจำนวนบริษัทใหญ่ ๆ ของอเมริกา
306 แห่งเป็นรองผู้นำด้านสินค้าอุปโภคของโลกคือ พี แอนด์ จี อยู่ 2 อันดับ
แต่นำหน้าโค้กอยู่ 1 อันดับ
สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ ผลการสำรวจที่ออกมาเช่นนี้เป็นผลพวงมาจากการทุ่งเทของบริษัทเองนักวิเคราะห์จากบราวน์
บราเธอร์ส ฮาร์ริแมนกล่าวว่า "เป๊ปซี่ไม่ได้เติบโตด้วยการอาศัยอัตราการเติบโตของประชากรแต่เป็น
เพราะผู้บริหารทุกคนของบริษัทคิดว่า "ชัยชนะ" นั้นเป็นวิถีที่จะต้องเป็นไปของบริษัทเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เป๊ปซี่ยังมีผู้นำอย่างคัลโลเวย์ที่ยึดคติว่า "ถ้าตลาดที่คุณอยู่นั้นไม่เติบโต
ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องหาทางโตให้ได้"
สูตรที่เป๊ปซี่ใช้ในการมุ่งไปหาความสำเร็จนั้นคัลโลเวย์เปิดเผยว่ามีอยู่
3 อย่างด้วยกันคือ "การรักความเปลี่ยนแปลง, หัดรู้จักเต้นรำ และทิ้งเจ.เอ็ดการ์
ฮูเวอร์ไว้ข้างหลัง"
การ "หัดรู้จักเต้นรำ" ในความหมายของคัลโลเวย์ก็คือว่า วิธีปฏิบัติกับลูกค้าแบบที่แตกต่างกันไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ทุกวันนี้เป๊ปซี่เลิกใช้วิธีการโฆษณาแบบดึงเอาไมเคิล แจ็คสันหรือมาดอนน่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัทแล้ว
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป๊ปซี่เปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัทที่เฉียบคมในด้านการบริหารมากขึ้น
ลกูค้าจะแปลกในที่พบว่าเป๊ปซี่มีพนักงานขายมากขึ้นและเป็นบริษัทที่ติดต่อกับลูกค้ามากที่สุดแต่สูตรที่สำคัญที่สุดของเป๊ปซี่คือ
หลักการ "รักความเปลี่ยนแปลง" ซึ่ง อาจจะเป็นเพราะว่าเป๊ปซี่ต้องอยู่ในฐานะที่เป็นรองโค้กมาตลอดศตวรรษ
ทำให้เป๊ปเป็นบริษัทที่มีไฟแห่งความทะเยอทะยานสูง คัลโลเวย์กล่าวว่า "ไม่มีอะไรที่เราจะจดจ่อได้เท่ากับการจับจ้องคู่ต่อสู้ที่คิดจะลบชื่อเราออกาจากสังเวียนอย่างไม่วางตา"
เป๊ปซี่ไม่เพียงแต่จะตอบโต้การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามทุกนัดเท่านั้นแต่ขณะเดียวกันยังได้ปรับปรุงกิจการ
หรือการตลาด หรือไม่ก็การบริหารบริษัทอยู่เสมอ เพื่อรักษาระยะก้าวให้ห่างกันน้อยที่สุด
คัลโลเวย์ ไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "ถ้าอะไรที่ยังไม่ถึงกาลที่ควรเปลี่ยนก็อย่าไปฝืน"
เขายืนยันว่า "ในสภาพเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้อะไรที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนคุณต้องเปลี่ยนมันด้วยตัวเอง
เพราะไม่ช้าก็เร็ว มันจะต้องเปลี่ยนไป"
การรักความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นแรงขับเคลื่อนอันหนึ่งที่ทำให้เป๊ปซี่ประสบความสำเร็จในธุรกิจอาหารด้วย
ถ้าหากใช้มาตรฐานรายได้เป็นตัววัดแล้ว ในช่วงไตรมาส ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทเป๊ปซี่โคมีร้านอาหารทั่วสหรัฐฯ
15,000 แห่งมากกว่าคู่แข่งอย่างแมคโดนัลด์เสียอีก และในปี 1990 ยอดขายของร้านอาหารเหล่านี้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ
13% ในขณะที่ยอดขายของอุตสาหกรรมโดยรวมเติบโตขึ้น 6% และยอดขายของแมคโดนัลดนั้นเติบโตน้อยมากเพียง
2% เท่านั้น และแม้ว่ส่วนต่างกำไรต่อร้านของแมคโดนัลด์จะสูงกว่า แต่ร้านของเป๊ปซี่ก็กำลังไล่กวดมาติด
ๆ ในความเห็นของคัลโลเวย์นั้น ธุรกิจร้านอาหารเป็นแผนกที่ "น่าลุ้น"
มากทีเดียว
ความจริงแล้วเป๊ปซี่ควรจะเข้ามาในธุรกิจร้านอาหารตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเริ่มเมื่อปี
1987 ซึ่งเป็นปีที่เป๊ปซี่ซื้อกิจการของพิซซา ฮัท และปัจจุบันธุรกิจอาหาร
ก็ให้ดอกผลแก่บริษัทได้เป็นอย่างดี เพราะคนอเมริกันบริโภคพิซซามากขึ้นถึง
46% บริโภคอาหารเม็กซิกันมากกว่าเดิม 52% และบริโภคไก่ตามร้านอาหารมากขึ้น
13% เมื่อเทียบกับปี 1984 และในขณะเดียวกันก็บริโภคเนื้อวัวน้อยลงด้วย
ในการแข่งขันระหว่างเชนร้านอาหารทั้งสามของเป๊ปซี่คือ พิซซา ฮัท, ทาโค
เบลล์ และเคนตั้กกี้กับแมคโดนัลด์นั้นเป๊ปซี่มีไม้เด็ดอยู่อย่างหนึ่งคือการกำหนดราคาสินค้า
เมื่อหลายปีก่อน สาขาของเป๊ปซี่ซึ่งเป็นร้านอาหารทั้งหมดพากันลดราคาอาหารกันเป็นการใหญ่เพราะเป็นช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ
ในขณะที่แมคโดนัลด์กลับขึ้นราคาอาหารอยู่เรื่อย ๆ เลสลี่ สเต็ปเพล นักวิเคราะห์คนหนึ่ง่ของวงการให้ความเห็นว่า
"เช่น ร้านอาหารของเป๊ปซี่ดึงดูดลูกค้าของแมคโดนัลด์มาได้ เพราะเป๊ปซี่สามารถตัดราคาอย่างที่แมคโดนัลด์สู้ไม่ได้"
และที่ไหนก็ลดราคาได้ไม่เร็วเท่าทาโค เบลล์ ภายในสองปี ราคาอาหารโดยเฉลี่ยลดลงถึง
25% และลูกค้าที่เข้าร้านก็เพิ่มขึ้นเป็น 60% ด้วย
จอห์น มาร์ติน กรรมการผู้จัดการใหญ่ของทาโค เบลล์ ตั้งราคาอาหารของเขาไว้เป็น
3 ระดับคือ 57 เซ็นต์, 79 เซ็นต์ และ 99 เซ็นต์ ซึ่งเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น
ๆ ที่มักจะลดราคาในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วขายเต็มราคาใหม่แล้ว ถือได้ว่าทาโค
เบลล์ลดราคาทุนวันทีเดียว
การลดต้นทุนก็เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จอันหนึ่งของเป๊ปซี่ ในขณะที่แมคโดนัลด์สร้างสาขาใหม่ด้วยต้นทุน
1.6 ล้านดอลลาร์ สาขาของเป๊ปซี่ซึ่งนับวันก็จะเน้นความเป็นธรรมดาของร้านให้มากขึ้น
ใช้งบประมาณเพียง 900,000 ดอลลาร์เท่านั้นต่อการสร้างสาขาหนึ่ง ๆ ในทำนองเดียวกัน
แมคโดนัลด์ก็นับวันจะเสียค่าใช้จ่ายไปกับธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับอาหารมากขึ้น
ๆ เพราะบริษัทมีนโยบายสร้างสนามเด็กเล่น, จอภาพยนตร์ และร้านอาหารในย่านวอลล์สตรีทที่มีบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์แจ้งราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไว้คอยต้อนรับลูกค้าด้วย
ซึ่งมาร์ตินเห็นว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็นเลย ฉะนั้น แม้แมคโดนัลด์จะลดราคาอาหารหลายชนิดแล้วในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น
จากปรากฏการณ์ข้างต้นทำให้เห็นถึงแนวการบริหารของมาร์ตินได้ชัดขึ้น นั่นคือการทำตัวแบบ
"ติดดิน" ในขณะที่แมคโดนัลด์พยายาม "ขึ้นฟ้า" มาร์ตินหาทางลดต้นทุนแรงงานด้วยการรับอาหารที่ประกอบเสร็จแล้ว
เช่น เนื้อวัวที่ปรุงแล้ว, ขนมข้าวโพดที่ทอดแล้ว หรือหัวหอมที่แกะสลักเป็นลูกเต๋าแล้ว
เขาดำเนินนโยบายด้านอาหารโดยเน้นอาหารที่ไม่ต้องเสียเวลาปรุงนาน และด้วยนโยบายอันนี้ทำให้ทาโค
เบลล์ แห่งใหม่มีรายได้จากช่วงเร่งรับของผู้คนถึง 1,500 ดอลลาร์ มากกว่า
2 เท่าของที่บริษัทเคยได้รับเมื่อ 5 ปีก่อน และใช้พนักงานเพียงครึ่งเดียวของเมื่อก่อนด้วย
พร้อมกันนั้นส่วนต่างกำไรก็เพิ่มขึ้นแม้จะขายอาหารในราคาต่ำลงเป๊ปซี่โคได้รับคำชมจาก
เพน เวปเปอร์ นักวิเคราะห์ของเอ็มมานูเอล โกลด์แมนว่า "ความแข็งแกร่งของเป๊ปซี่โคอย่างหนึ่งก็คือ
"ความสามารถที่จะผลิตและแจกต่างสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นพันล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับความสำเร็จของบริษัทอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่การตลาด"
นอจากนั้น เป๊ปซี่ยังเป็นผู้นำด้านวิธีการแจกจ่ายอาหารแบบใหม่ในวงการร้านอาหารด้วยกันอีกด้วยเพราะคัลโลเวย์เห็นว่า
"เราไม่สามารถจะ "รุ่ง" ขึ้นมาได้ถ้ามัวแต่รอลูกค้าที่เร่งรีบเข้ามาทานอาหาร
เราต้องเป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าไป และทำให้พิซษาหรือไก่ทอดนั้จนเป็นอาหารที่หากินได้สะดวกเหมือนกับดริโต้ของเรา
และเชนร้านอาหารแหงแรกของเป๊ปซี่ที่เปิดมิติใหม่ในวงการนี้คือพิซซา ฮัท
ขณะนี้พิซซา ฮัทมีบริการ "อาหารกลางวัน 5 นาที" ยิ่งไปกว่านั้น
ลูกค้ายังสามารถซื้อพิซซาได้ตามข้างสนามฟุตบอล หรือบาสเกตบอลฯ โรงอาหารในโรงเรียนหรือตามร้านขายของในสนามบินและวันหนึ่งลูกค้าจะซื้อพิซซาบนเครื่องบินได้ด้วย
เพราะขณะนี้ ประธานของพิซซา ฮัท คือ สตีเฟน เรนมัด์ได้ทาบทามเรื่องนี้กับธุรกิจที่รับผิดชอบด้านอาหารของสายการบินแล้วหลายเจ้า
หากโครงการนี้เป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ พิซซา ฮัทก็จะมีจุดวางขายสินค้าถึง
20,000 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า จากทุกวันนี้ซึ่งมีอยู่แล้ว 6,000 แห่ง
เรนมันด์เรียกธุรกิจของเขาว่า "บริษัทจัดจำหน่ายพิซซา" พิซซา
ฮัท เริ่มให้บริการส่งพิซซาถึงบ้านมาตั้งแต่ปี 1987 และขณะนี้สาขาส่วนใหญ่ของพิซซา
ฮัท ก็กำลังเปลี่ยนแปลงเป็นแบบส่ง และซื้อกลับบ้านร้านแบบใหม่นี้ใช้ต้นทุนการก่อสร้างน้อย
ประมาณ 250,000 ดอลลาร์ต่อร้าน แต่ได้กำไรกลับคืนมามากว่า 25% ต่อปี และมากกว่าที่ได้จากร้านพิซซา
ฮัท แบบที่นั่งทานในร้านถึง 2 เท่าโดยเฉลี่ย และจอร์ช ไรช์ ประธานของจีดีอาร์
เอ็นเตอร์ไพร์ บริษัทให้คำปรึกษาด้านธุรกิจอาหารก็เปิดเผยว่า "ตั้งแต่ปี
1984 เป็นต้นมายอดขายของร้านที่มีการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากร้านที่ขายแบบส่งถึงที่และซื้อกลับบ้าน
และการบริโภคที่อยู่นอกร้าน จุดนี้เป็นจุดหนึ่งทำให้พิซซา ฮัท เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีฐานะมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้"
การรักในความเปลี่ยนแปลงของคัลโลเวย์ยังรวมไปถึงการบริหารคนในบริษัทด้วย
คือในปี 1989 คัลโลเวย์ส่งจอห์น คราเนอร์ หัวหน้าแผนกธุรกิจน้ำอัดลมแถบอเมริกาตะวันออกไปแก้ปัญหาของเคนตั๊กกี้
ฟรายด์ ชิกเก้น เชนร้านอาหรที่ยังตามไม่ทันคนอื่น ๆ เพราะยังเสิรฟ์อาหารที่อุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล,
มีภาพพจน์ของร้านที่ยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร และสำคัญคือไม่ใครจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่
ๆ นับตั้งแต่เป๊ปซี่ซื้อกิจการเข้ามาเมื่อ 5 ปี ที่แล้ว
คราเนอร์จึงเข้าไปจัดการสาขาเหล่านี้เสียใหม่ด้วยการออกสินค้าใหม่อย่างไลท์
แอนด์ คริสปี้ ไก่ทอดชนิดไม่มีหนัง และยังได้าหาความรู้ด้านเทคนิคการส่งสินค้าจากผู้บริหารที่ช่ำชองของพิซซ่า
ฮัทหลายคนด้วยภาพพจน์ใหม่ของเคนตั๊กกี้จึงประกอบไปด้วยชื่อย่อที่คิดขึ้นใหม่
คือ "เคเอฟซี" มีสโลแกนใหม่เช่น "NOBODY'S COOKIN' LIKE THE
NEW KFC" และมีภาชนะใส่อาหารแบบใหม่ที่ตัดรูปตัวนายพลเคนตั๊กกี้ออกไป
ทำให้ยอดขายของเคเอฟซีเพิ่มขึ้น 5% ต่อร้านเมื่อปีที่แล้ว และกำไรก็เพิ่มขึ้นเป็น
28% เป็น 127 ล้านดอลลาร์ จากยอดขาย 1.5 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การสรรหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจอาหารนั้นนับเป็นยุทธวิธีที่เหมาะสมมาก
เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่อัตราการเพิ่มประชากรต่ำ, ลูกค้าวัยรุ่นซึ่งเป็นฐานนของอาหารขบเคี้ยวก็แคบลง
และกระแสความนิยมอาหารจานด่วนก็ลดลง แต่เป๊ปซี่ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น
เพราะแม้แต่ธุรกิจฟริโต-เลย์ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่กำหนดความเคลื่อนไหวในวงการขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย
และครองส่วนแบ่งอยู่เกือบครึ่งก็ยังต้องเปลี่ยนตัวผู้บริหาร คัลโลเวย์ย้ายโรเจอร์
เอ็นริโก ประธานของเป๊ปซี่ในนานาชาติไปบริหารฟริโต-เลย์แทนมิเชล จอร์แดน
ซึ่งเปลี่ยนไปคุมแผนกใหม่อันเป็นธุรกิจ ที่รวมกันระหว่างขนมขบเคี้ยวและน้ำอัดลงของบริษัท
เอ็นริโก้นั้นถนัดอยู่แล้วในการหาสิ่งใหม่ ๆ มาให้กับธุรกิจภายใต้การควบคุมของเขา
ความเป็นคนที่มักจะคิดอะไร "นอกกรอบ" ของเขา สะท้อนออกมาทางด้านการจัดลูกค้าด้วยการค้นหาความต้องการของเขา
เมื่อผลการสำรวจปรากฏออกมาว่า ลูกค้าต้องการให้บริษัทออกแบบสินค้าใหม่เสียที
เขาก็จัดการใช้มันฝรั่งพันธุ์ใหม่เพื่อให้รสชาติของมันฝรั่งแท้ ๆ และโดริโตแบบใหม่นี้ก็จะบางลงและกรอบขึ้น
พนักงานในโรงงานผลิตของฟริโต-เลย์ 39 แห่งทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์อันซับซ้อนเพื่อวัดมาตรฐานความกรอบ,
ความชื้น, รสชาติ และคุณภาพอื่น ๆ ของสินค้า ผู้บริหารระดับสูงของโรงงานแต่ละแห่งจะเป็นคนทดสอบสินค้าด้วยตัวเองอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อชั่วโมงเพื่อให้ฟริโต-เลย์
จากแหล่งผลิตทุกแห่งได้มาตรฐานเดียวกับฟริโต-เลย์ที่ผลิตจากโรงงานของสำนักงานใหญ่ในพลาโน
รัฐเท็กซัส
ฟริโต-เลย์ยังมีกระบวนการเช็กยอดสินค้าในร้านขายปลีกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย
เพราะการแข่งขันกันโดยผลิตสินค้าที่ให้คุณภาพดีที่สุด หรือทุ่มโฆษณาให้ติดตาติดใจมากที่สุดนั้นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วในวงการนี้
ที่สำคัญกว่านั้นคือการประสานกับร้านค้าปลีกใหญ่ ๆ ทั้งหลายอย่างใกล้ชิด
ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทจะให้ข้อมูลกับฝ่ายวิเคราะห์ว่าสินค้าตัวไทนที่ขายดีที่สุดในชั้นวางขนม
ระบบตรงนี้ของฟริโตเลย์เป็นระบบที่ซับซ้อนมากที่สุดในรบรรดาธุรกิจอาหารที่บรรจุในหีบห่อ
พนักงานขายของบริษัทกว่า 10,000 คนจะมีคอมพิวเตอร์มือถือที่จะถ่ายข้อมูลสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ในพลาโนเพียงชั่วข้ามคืน
นั่นเป็นหนึ่งในปรัชญาการ "หัดเต้นรำ" และคัลโลเวย์กล่าวว่า
"ในปี 1980 ผมบอกไว้ว่าทางแถบตะวันตกของมิสซิสวซิปีขายโดริโตขายได้เท่าไหร่
และอย่างไร แต่ยังบอกได้ด้วยว่าขายได้ในออเรนจ์ คันทรี่ ในเมืองไอร์เวน ซึ่งอยู่ในเขตวอน
ในช่วงของการโปรโมทพิเศษ ตรงมุมของชั้นที่ 4 เมื่อวันพฤหัสบดี"
นักวิเคราะห์ที่ได้รับข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์จะส่งต่อข้อมูลไปสู่แผนกส่งสินค้าให้ร้านค้าปลีก
เพื่อเป็นข้อมูลในการแนะนำร้านทั้งหลายเหล่านั้นว่าควรจะวางสินค้าลงชั้นอย่างไรจึงจะได้กำไรมากที่สุด
ทุกวันนี้เมื่อคู่แข่งวางสินค้าที่น่ากลัวลงตลาด ฟริโต-เลย์จะโต้ตอบได้ทันทีด้วยการโปรโมทหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนส่วนผสมของสินค้าภายใน
2 อาทิตย์ แทนที่จะเป็น 3 เดือน
ทางด้านเป๊ปซี่ โคลานั้นก็กำลังเริ่มสร้างมิติใหม่ในวงการร้านค้าปลีกด้วยเหมือนกัน
หลายทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทเน้นการแจกจ่ายน้ำหวานและน้ำอัดลมให้กับบริษัทผู้บรรจุขวด
ซึ่งทำให้ยอดขายดีอย่างไม่มีปัญหาแต่บริษัทจะไม่ได้ติดต่อกับผู้จำหน่ายสินค้าของบริษัทโดยตรง
ในต้นปี 1980 เป๊ปซี่จะเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่มาเป็นการตอบสนองความต้องการของร้านค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
โดยการส่งสินค้าลงร้านขายปลีกด้วยตัวเองเป๊ปซี่ทุ่มเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเฟรนไชส์
ทุกวันนี้เป๊ปซี่ โคลาจึงมีบริษํทที่บรรจุขวดและตัวแทนจำหน่ยที่รับผิดชอบน้ำโซดาของบริษัทอยู่ครึ่งหนึ่ง
เทียบกับ 10 ปี ก่อนที่มีอยู่เพียง 21% และนั่น หมายความว่า บริษัทมีลูกค้าที่เป็นร้านปลีก,
ร้านอาหาร, โรงเรียนและสเตเดี้ยมต่าง ๆ ถึง 600,000 ราย
เมื่อปีที่แล้วเครด เวเธอร์อัฟ ประธานของเป๊ปซี่ โคลาในอเมริกาเหนือได้ส่งผู้บริหารระดับสูง
70 คนออกสัมภาษณ์บริษัทต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อในด้านการบริการลูกค้า ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งซีบอร์ด,
บริติช แอร์เวส์ และวอลต์ ดิสนีย์ นอกจากนั้นยังได้สอบถามร้านค้าปลีกทั้งหลายถึงความเห็นที่มีต่อบริการของเป๊ปซี่ด้วย
และจากข้อมูลมากมายที่ได้มานั้นไม่มีชิ้นใดเลยที่แสดงว่าเป๊ปซี่ไม่ได้ทำตามความต้องการของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม นโยบายหัดเต้นรำของคัลโลเวย์นี้คงไม่ท้าทายสำหรับใครเท่ากับมิเชล
จอร์แดน ประธานฝ่ายนานาชาติคนใหม่ของเป๊ปซี่ เพราะเป๊ปซี่ โคลา ยังสู้โค้กไม่ได้ในตลาดนอกประเทศ
เป๊ปซี่ได้ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15% ในขณะที่โค้กกินขาดอยู่ 46% และช่องว่างตรงนี้ก็นับวันจะห่างขึ้น
ดังนั้นจอร์แดนจึงได้พยายามดึงเอาแผนกขนมขบเคี้ยวของบริษัทซึ่งขยายตัวได้เร็วมากในตลาดสากลมาช่วยทำกำไรเมื่อปี
1989 เป๊ปซี่โคซื้อกิจการสมิธส์คริส์ป และวอล์คเกอร์ คริส์ปซึ่งเป็นผู้นำทางด้านขนมขบเคี้ยวของอังกฤษมาไว้ในมือ
ทำให้ฐานของเป๊ปซี่ในยุโรปแกร่งขึ้น อันเป็นนโยบายของจอร์แดนที่ว่า "เราจะใช้แผนการตลาดเดียวกันสำหรับธุรกิจขนมและน้ำอัดลมในยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่มีการค้าขายสูงมาก
และต่อไปเราจะวางสินค้าสองอย่างในตู้ขายสินค้าอัตโนมัติตู้เดียวกันด้วย"
สำหรับบัญญัติของคัลโลเวย์ที่ว่า "ทิ้งเจ.เอ็ดการ์ด ฮูเวอร์ไว้ข้างหลัง"
นั่นคือ สนับสนุนการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ และการยืดหยุ่นเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง
เจเอ็ดการ์ด ฮูเวอร์เป็นชื่อของเอฟบีไอซึ่งทำงานด้วยความเข้มงวดมาก และมีมาตรฐานที่เคร่งครัดไว้ตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่าง
คัลโลเวย์ไม่เคยเห็นด้วยกับการจำกัด ความคิดของคน แต่พอใจที่จะได้ความคิดใหม่
ๆ จากคนอื่นมากกว่า
คัลโลเวย์นั้นได้ชื่อว่าดูแลคนทำงานอย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งได้ขึ้นอันดับหนึ่งในจำนวนบริษัทที่ตอบแทนพนักงานดีที่สุด
ซึ่งจัดอันดับหนึ่งในจำนวนบริษัทที่ตอบแทนพนกงานดีที่สุดซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูน
500 ของอเมริกา ภายใต้ระบบค่าตอบแทนที่คัลโลเวย์ได้กำหนดขึ้นนี้ ผู้จัดการที่เด่น
ๆ ของทาโค เบลล์ หรือพิซซ่า ฮัทจะได้รับค่าตอบแทนประมาณ 50,000 ดอลลาร์ต่อปีแม้ว่าคนนั้นจะมีอายุเพียง
22 ปีก็ตาม เมื่อ 10 ปีที่แล้วผู้จัดการของเป๊ปซี่โคยังไม่มีชื่อเท่าผู้จัดการของแมคโอนัลด์แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามแล้ว
กระนั้นก็ตาม คัลโลเวย์ก็ยังไม่พอใจนักกับธุรกิจของเขาในขณะนี้ เพราะเขารู้อยู่ตลอดเวลาว่าโค้กอาจจะตื่นขึ้นมาบุกตลาดเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถึงแม้เป๊ปซี่จะยังไม่เคยเป็นผู้ชนะในสงครามน้ำโคลากับโค้ก ในด้านคะแนนนิยมจากผู้บริโภคนั้นก็เรียกได้ว่าชนะใจกรรมการมาได้อย่างสวยงามทีเดียว